posttoday

จาก “ปูซาน” ถึง “36” วกมาคุยกับ “เต๋อ”

08 พฤศจิกายน 2555

เทศกาลหนังนานาชาติปูซาน 2012 ประเทศเกาหลีใต้คึกคักมาก ตามคำบอกเล่าที่หลุดจากปากผู้กำกับไทย เต๋อนวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ ที่มีโอกาสไปสัมผัสมา

โดย...โจ เกียรติอาจิณ

เทศกาลหนังนานาชาติปูซาน 2012 ประเทศเกาหลีใต้คึกคักมาก ตามคำบอกเล่าที่หลุดจากปากผู้กำกับไทย เต๋อ-นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ ที่มีโอกาสไปสัมผัสมา

ยิ่งใหญ่ ตระการตา ทุ่มทุน ดาราล้น คนทำหนังเพียบ เขาว่าอย่างนั้น ที่สำคัญแม้แต่อาสาสมัครตัวกระจ้อยก็ยังได้รับเกียรติด้วยการนำภาพการทำงานขึ้นจอยักษ์วันปิดเทศกาล มีเสียงปรบมือลั่นในฐานะเฟืองจักรที่ทำให้เทศกาลลุล่วง

ปีนี้คนไทยได้เฮ เมื่อเต๋อและหนัง “36” ของเขาได้รับรางวัล New Currents กลับบ้านแบบไม่เสียเที่ยว ซึ่งรางวัลดังกล่าวมอบให้แก่ผู้กำกับไฟแรงที่เพิ่งมีผลงานการกำกับเรื่องแรก แต่โดดเด้งเข้าตากรรมการอย่างจัง

“เบลา ทาร์” ผู้กำกับเก๋าชาวฮังกาเรียน ประธานการตัดสิน ชื่นชมเต๋อและหนังว่ามีเอกลักษณ์ น่าทึ่ง ประหยัด ไม่ใช้คำฟุ่มเฟือย สร้างหนังด้วยภาษาตัวเอง ขณะเดียวกันถือเป็นผลงานเร้าอารมณ์ มีศิลปะ ไม่มีฉากไหนสร้างขึ้นอย่างไร้จุดหมาย

เต๋อเจอตัว เบลา ทาร์ แบบไกลๆ รวมถึงกรรมการคนอื่นๆ เขาก็ได้แต่เหลือบมองอยู่ห่างๆ เขาสารภาพอยากคุยกับทุกคน ทว่า ดูเหมือนทุกคนจะเลี่ยงไม่พูดคุยกับผู้กำกับที่มีหนังเข้าชิงรางวัล

จาก “ปูซาน” ถึง “36” วกมาคุยกับ “เต๋อ”

 

“ไม่รู้ว่าเป็นกฎหรือเปล่านะที่ห้ามกรรมการคุยกับผู้กำกับ” เต๋อเปรยด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง ทั้งยังเล่าติดตลกว่าถ้าวันนั้นเขาไม่ได้รางวัลแล้วกรรมการยังอยู่ในงาน เขาจะพุ่งไปหากรรมการทันควัน

“ที่จะไปคุยไม่ใช่เพราะติดใจเรื่องรางวัลนะครับ แต่อยากให้เขาคอมเมนต์หนังของผมว่าเป็นยังไง ดูแล้วชอบ ไม่ชอบอะไร แค่นั้นจริงๆ ครับ เพราะผมรู้สึกว่าการได้คอมเมนต์กลับมามันดีกว่าคำชมนะ คำชมก็โอเค แต่คอมเมนต์ลบๆ แบบไม่ใช้อารมณ์นะ ผมว่ามันจะช่วยให้คนทำหนังหันมามองตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง แล้วยังทำให้หายเศร้าได้ด้วย”

แม้ทุกอย่างจะสวนทางกับสิ่งที่เต๋อคิดไว้ ถึงอย่างนั้นผู้กำกับวัยก็เป็นปลื้มที่ผู้กำกับเทพชอบหนังเขาและเลือกให้ได้รับรางวัล

“มันเป็นเรื่องเกินคาดจริงๆ นะครับ ปูซานในความคิดผมคือมันของสูงเกินที่ผมจะคาดหวังได้ เอางี้ดีกว่า แค่หนังผมถูกเลือกเข้าเทศกาล ผมก็ถือว่ามันสุดยอดยิ่งแล้วนะ แต่นี่มันชนะรางวัลด้วย โห... มันโคตรจะเซอร์ไพรส์สำหรับผมมากๆ”

ระหว่างเต๋อกับปูซานนั้นความชิดใกล้ค่อนข้างจะมีอยู่น้อยถึงน้อยนิด นั่นเพราะเขาไม่เคยส่งหนังเข้าเทศกาลเลย นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เต๋อตัดสินใจส่งหนังไปปูซานด้วยการอาการประดักประเดิด

“ไม่เหมือนตอนไปเทศกาลหนังสั้นเลยครับ อันนั้นอารมณ์ประมาณไปเที่ยวมากกว่า แต่ปูซานมันใหญ่ทุกอย่าง ผมว่ามันใหญ่กว่าโตเกียวฟิล์มด้วยซ้ำ แล้วผมก็ว่าตอนนี้มันใหญ่ที่สุดในเอเชียนะ ปูซานคือวัฒนธรรมเกาหลีที่คนเกาหลีสร้างขึ้นมาและขายได้ไม่แพ้เคป๊อป เพียงแต่มันละแนวทาง ซึ่งผมหวังว่าประเทศไทยก็ได้ ถ้าจะทำมุ่งไปเลย รัฐช่วยด้วย ทำได้ครับ”

สำหรับหนังเรื่อง “36” เล่าถึงสองชีวิต คนหนึ่งเป็นคนกำกับศิลป์ หนึ่งคนเป็นคนหาโลเกชัน ซึ่งทั้งคู่ร่วมกันทำหนังและเริ่มสนิทกัน จนเวลาสองปีล่วงผ่าน ฮาร์ดดิสก์ที่เก็บรูปของคนหนึ่งก็เกิดเจ๊ง พร้อมๆ กับการหายตัวไปของอีกฝ่าย โดยหนังถ่ายทำแค่ 36 ฉาก เรียงร้อยจนจบเรื่อง เรียบง่าย ดูไม่ยาก ไม่อาร์ตแตก ไม่ต้องปีนบันไดดู แต่มีลูกล่อลูกชนชวนให้ติดตาม

“ผมว่าหนังผมเป็นหนังรักนะ แต่ไม่ใช่หนังรักที่ถูกดีไซน์ไปสู้กับเรื่องไหนเลยในปูซาน ยิ่งพอรู้ว่ากรรมการเป็นใคร ผมว่าหนังผมเป็นหนังเด็กไปเลย เพราะกรรมการแต่ละคนอาร์ตๆ ทั้งนั้น แต่ผมก็ว่าแปลกใจเรื่องที่อะไรทำให้หนังผม sold out มาดูดาราเหรอ ก็ไม่ใช่นะ ก็ถามตัวเองตลอด พวกเขามาดูหนังผมเพราะอะไรวะ ถ้าเป็นหนังผู้กำกับดัง อันนั้นไม่แปลกใจ อย่างผมนี่ ไม่ดังด้วย มาใหม่ด้วย ก็แปลกใจสิครับ”

สำหรับเต๋อ ณ วันนี้ ขึ้นแท่นผู้กำกับไฟแรงมีรางวัลจากปูซานการันตีไปแล้ว แต่เขาก็ยืนกรานยังไม่ทิ้งการทำหนังสั้นที่เขารัก ส่วนหนังยาวเขาเผยสั้นๆ ไม่นานเกินรอกับโปรเจกต์ใหม่ค่ายจีทีเอชได้ดูกันแน่นอน ขณะที่การทำหนังส่งประกวดถ้ามีโอกาสก็คงไม่พลาด ไม่ว่าจะปูซานหรือที่ไหนๆ ส่งได้ส่ง

“ได้กล่องกับได้เงิน ได้เงินก่อนก็ดีครับ เพราะการได้เงินคือการปะทะกับคนเยอะๆ คน 2,000 กับกรรมการ 5 คน ผมว่าผมอยากเจออย่างแรกมากกว่านะ ไม่ใช่ว่าได้กล่องไม่ดี ดีแต่คงไม่คาดหวังสูง ได้ก็ได้ เป้าหมายผมอยู่แค่กิโลเดียว ใกล้ๆ ไม่อยากมองไปไกล”