posttoday

แผนฉก (ตัวประกัน) สุดเพี้ยน

25 ตุลาคม 2555

แต่ไหนแต่ไรมา ไม่เคยนึกชอบ “เบน อัฟเฟล็ก” แบบจริงๆ จังๆ เลย (พับผ่าสิ)

โดย...วิชช์ญะ ยุติ

แต่ไหนแต่ไรมา ไม่เคยนึกชอบ “เบน อัฟเฟล็ก” แบบจริงๆ จังๆ เลย (พับผ่าสิ)

ทว่า พอดูหนังเรื่องนี้จบ โอ้ ผมชักจะชอบเขาขึ้นมาแล้วล่ะ

ในฐานะผู้กำกับ เบนเก่งและเจ๋งกว่าตอนกำกับ The Town (ปี 2010) Gone Baby Gone (ปี 2007) ซะอีก

เบนเก่งตรงที่เอาคนดูอยู่หมัด สนุกลุ้นจนหยดสุดท้าย เบนเจ๋งตรงที่ทำหนังซีเรียส ให้กลายเป็นเรื่องตลกร้ายแบบขำไม่ออก

ทีเล่นทีจริง ใส่สารคดีข่าว สัมภาษณ์ผู้นำอิหร่าน “โคไมนี” ตัดสลับกับสัมภาษณ์ผู้นำอเมริกา “จิมมี คาร์เตอร์” ปะทะคารม ตอบโต้กันไปมา โดยอาศัยสื่อเป็นตัวกลาง คละเคล้าด้วยบรรยากาศการวางแผนที่ดูจะขึงขังและฮาในเวลาเดียวกัน

แผนฉก (ตัวประกัน) สุดเพี้ยน

 

แล้วเบนยังมีลีลาการเล่าเรื่องที่ไว้หน้าทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไม่ใช่จ๋าสุดขั้ว ประมาณฉันเลิฟอเมริกา (จัง) แต่ฉันก็บูชาแคนาดา (ด้วย) ก่อนจะลงท้ายที่ฉันไม่ได้ด่าอิหร่าน (นะเฟ้ย)

ยิ่งเฉพาะฮอลลีวูด เห็นชัดมากกกกกก ว่าเบนนั้นช่างเชิดชูฮอลลีวูดกว่าอะไรทั้งมวล ก็เพราะหนังได้ยกฮอลลีวูดเป็นพระเอก ในฐานะเป็นเฟืองจักรสำคัญให้การชิงตัวประกันสำเร็จ

นั่นทำให้ผมรู้สึกชอบเบนมากกกกกก

ถ้าดูจากเทรลเลอร์ตัวอย่าง Argo ค่อนข้างคนละเรื่องกับเวอร์ชันเต็ม สิ่งที่อยู่ในเทรลเลอร์ออกดูจะซีเรียสเสียด้วยซ้ำ แต่ในหนังเต็มๆ กลับสนุกกว่า มีอรรถรสกว่า ตื่นเต้นกว่า ฮากว่า เพี้ยนกว่า

หนังเล่าเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้นในปี 1979 เช้าตรู่วันที่ 4 พ.ย. อิหร่านมีการปฏิวัติ เหตุการณ์เริ่มบานปลายจนไม่สามารถควบคุมได้ ทหารอิหร่านบุกยึดสถานทูตอเมริกา จับชาวอเมริกันเป็นตัวประกัน แต่มีเพียง 6 คนหนีรอด

แผนฉก (ตัวประกัน) สุดเพี้ยน

 

และ 6 คนที่หนีรอดมาได้นี่เอง ก็คือชนวนของเรื่องราวชิงตัวประกัน โดยมีซีไอเอ “โทนี เมนเดซ” ต้องไปทำแผนฉกมาจากอ้อมอกทหารอิหร่าน

เรื่องดูเหมือนจะง่ายและน่าจะคล้ายหนังสายลับชิงตัวประกันทั่วไป แต่ทุกอย่างผิดคาด เพราะหนังเพี้ยนกว่านั้นเยอะ เมื่อโทนีปิ๊งไอเดียแผนฉกตัวประกัน ด้วยการสร้างกองถ่ายหนังเก๊ๆ ขึ้นมา และติ๊งต่างว่าจะยกกองไปใช้โลเกชันที่อิหร่าน (คิดได้ไงอ่ะ)

ที่อิหร่านกำลังลุกเป็นไฟ 6 ชาวอเมริกัน ถูกหมายหัวเป็นตัวอันตราย ทหารอิหร่านออกตามล่าแบบพลิกแผ่นดิน ขณะที่โทนีก็ทำความเข้าใจกับทั้ง 6 คน ว่าเป็นแผนเหนือชั้นที่น่าจะรอดได้

คำถามคือว่าแล้วมันจะรอดได้ยังไง โทนีแบกรับความกดดันนี้ไว้บนบ่า พอๆ กับรัฐบาลกลางสหรัฐ เอฟบีไอ รวมถึง 2 คนบันเทิงแห่งฮอลลีวูด ผู้อยู่เบื้องหลังแผนกองถ่ายหนังเก๊ โปรดิวเซอร์สุดเก๋า “เลสเตอร์ ซีกัล” เมกอัพอาร์ติสต์ตัวพ่อ “จอห์น แชมเบอร์ส”

แต่แล้วจู่ๆ คำสั่งสายฟ้าแลบ ยกเลิกแผน!!! จากรัฐบาลกลางดันเปรี้ยงออกมากลางวันแสกๆ ทำเอาโทนีต้องกุมขมับปวดตับทันควัน จะถอนตัว จะเลิกแผน จะกลับบ้าน หรือจะทิ้ง 6 คนไปอย่างไม่มีเยื่อใย

แผนฉก (ตัวประกัน) สุดเพี้ยน

 

นาทีสุดท้าย โทนีตัดสินใจ ลุยต่อ!!! 6 คนก็เล่นด้วย หัวหน้าเอฟบีไอก็ไม่ขัด เป็นตายเท่ากัน โทนีไม่มีทางเลือก ประโยคหนึ่งที่เขาเอ่ย “ผมจะขอรับผิดชอบเอง” แมนมากกกกกก

Argo ส่งท้ายด้วยเอนด์เครดิตที่มาแบบเหนือเมฆ หนังจบอย่าเพิ่งลุกจากเก้าอี้ นั่งต่ออีกหน่อยจะพบว่ามีอะไรดีๆ ให้ดูอีกตั้งแยะ อย่างน้อยๆ ผมก็ได้เห็นความพยายามของเบน ที่นำภาพข่าวต้นฉบับกับภาพในหนังมาเทียบเคียงกันภาพต่อภาพ เหมือนเป๊ะทุกสิ่งอย่าง เสื้อผ้า หน้าผม มากกว่านั้น แคสติงเหล่านักแสดงก็เหมือนกันยังกะแกะ ระหว่างคนจริงในข่าวกับตัวละครในหนัง

สำหรับผม Argo ถือเป็นอีกบทพิสูจน์หนึ่งที่ทำให้รู้ว่าเบนพร้อมแล้วที่จะเติบใหญ่บนเส้นทางผู้กำกับอย่างเต็มตัว (ไม่ใช่ผลุบๆ โผล่ๆ) และก็เชื่อมัน (ลึกๆ) ว่า งานแจกรางวัลดังๆ ปีหน้า สถาบันวิจารณ์ ลูกโลกทองคำ กระทั่งออสการ์ คงไม่ตกหล่นชื่อเบนและ Argo ไปแน่นอน