posttoday

บู๊แหลก...แหกตึก

13 กันยายน 2555

“บู๊แหลก” เป็นวลีที่ (น่าจะ) ใช้กับหนังเรื่องนี้ได้ดี

โดย...โจ เกียรติอาจิณ

“บู๊แหลก” เป็นวลีที่ (น่าจะ) ใช้กับหนังเรื่องนี้ได้ดี

นั่นเพราะหนังบู๊แหลกได้ตลอดทั้งเรื่อง

จากต้นจนจบ คนที่ตีตั๋วเข้าไปดูหนัง ลำพังแค่ฉากบู๊ บอกคำเดียวว่า “คุ้ม”

ถือเป็นหนังบู๊ที่มาแบบถูกที่ถูกทาง ที่สำคัญถูกเวลา แม้จะมาช้ากว่า “องค์บาก” ของนักบู๊ไทย “จา พนม” หรือมาไม่ทันหนังตระกูล “สู้ฟัด” ของนักบู๊เอเชีย “เฉินหลง” แต่หนังอินโดนีเซียเรื่องนี้เหนือชั้นกว่าหลายเรื่องและแหกกฎหนังบู๊ทั่วไป

หนังมันส์ขั้นเทพ ด้วยฉากบู๊ที่ดูสมจริง ขึงขังราวกับจะฆ่าแกงกันจริงๆ ไม่ได้ยกยอให้ดูเวอร์อะไร แต่ดูสมจริงกว่าหนังจา พนม และดูสมจังกว่าหนังเฉินหลง

สิ่งที่ดีที่สุดของหนังคือ งานออกแบบการต่อสู้ ทำได้ไม่เคอะเขิน รู้สึกว่ามันเป็นฉากต่อสู้ที่ดึงดูดความสนใจได้มากทีเดียว เรียกว่าเอาคนอยู่

แต่ละฉากของการต่อสู้ แม้จะรู้ว่ามันถูกเซตขึ้นและมีบล็อกกิงในการแสดงชัดเจน ทว่า มุมกล้องที่ดูดิบๆ ก็ช่วยให้ทุกๆ ฉากกลมกลืนไปด้วยกัน

บู๊แหลก...แหกตึก

ดีกรีความสะใจเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ นับตั้งแต่กล้องเคลื่อนเข้าสู่ตัวตึก ซึ่งถูกใช้เป็นโลเกชันหลักของหนัง ขอชมว่านี่เป็นการใช้โลเกชันที่คุ้มค่าที่สุด เพราะทั้งเรื่องตัวละครก็วนเวียนไล่ล่ากันเฉพาะในตึก ทำให้รู้ว่าผู้กำกับ ตากล้อง รวมถึงผู้กำกับคิวบู๊ เก่งอ่ะ!!! ที่สามารถจัดการกับพื้นที่แคบๆ ได้อย่างลงตัว จนเกิดภาพการต่อสู้ที่น่าดูและสวย

ที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลย คงไม่พ้นทีมนักแสดง นี่คือทีมนักแสดงที่แคสได้เหมาะเจาะ เพราะแต่ละคนมีโอกาสโชว์ฝีมือการต่อสู้ตามที่ตัวเองถนัด

เคยอ่านบทสัมภาษณ์ผู้กำกับ “แกเรธ อีแวนส์” บอกว่า เขาเลือกนักแสดงจากพื้นฐานศิลปะการต่อสู้ที่แต่ละคนมี เช่น พระเอกหน้าคม “อิโก อูไวส์” เก่งปันจักสีลัต ก็ให้สู้ด้วยท่าของปันจักสีลัต หรือตัวประกอบที่เป็นหัวหน้าพระเอก “โจ ทาสลิม” เป็นถึงแชมป์ยูโดเหรียญเงินเอเชียนเกมส์ ก็เน้นฉากต่อสู้ที่ใช้ท่ายูโด

ผลลัพธ์คือทุกคนล้วนมีโอกาสอวดศักยภาพที่ตัวเองมีและเป็นไปได้จริงที่จะนำมาปรับใช้ในการแสดง ทั้งยังเป็นการสนับสนุน หรือดึงคนวงการกีฬามาเป็นนักแสดงที่ดีได้ด้วย

ส่วนตัวแล้วก็อยากเห็นวงการหนังไทยคิดแบบนี้บ้าง ไม่ใช่เอะอะก็โยนบทตลก บทกะเทย บทคนขับรถ บทคนใช้ให้นักมวยเหรียญทองโอลิมปิกเล่น ทั้งๆ ที่เขาคนนั้นอาจมีศักยภาพด้านศิลปะการต่อสู้ได้อีกตั้งแยะ

ปกติหนังบู๊ (หมายถึงหนังบู๊แหลกนะครับ) มักมีข้อจำกัดเรื่องบท ไม่มีเหตุผล ไม่เวอร์ ก็เป็นง่อย ดูไปก็น่ารำคาญ (ชะมัด) หนังไทยหลายๆ เรื่องก็เป็นกันอยู่ หนังเฉินหลงก็พยายามจะมีอะไร สุดท้ายบทก็แค่เน้นสนุก ขำฮา และบู๊ The Raid : Redemption ก็ยังไม่สามารถทะลุกำแพงข้ออ่อนด้อยนั้นไปได้ แม้จะดูเหมือนใส่ใจ (บ้าง) แต่กลับไม่ได้หนักแน่นเท่าที่ควร

บู๊แหลก...แหกตึก

ยิ่งเฉพาะความแหลมคมของบท หรือความซับซ้อนของตัวละคร ก็ยังหาเหลี่ยมมุมคมๆ ไม่เจอ ดีหน่อยที่หนังดึงประเด็นผู้มีอิทธิพลกับคนมีสีมาใส่ ซึ่งถ้าให้น้ำหนักมากกว่านี้ รับประกันว่าจะเป็นหนังที่เข้ม ขึง ขลัง และโคตรมันส์เลยละ

หนังเปิดเรื่องที่พระเอกกำลังละหมาด แล้วกล้องก็แพลนไปหาผู้หญิงที่นอนบนเตียง เขาหันมาร่ำลาผู้หญิงคนนั้น ฉากนี้พูดกันน้อย แต่ก็ทำให้ขนลุกไม่เบา แล้วเขาก็พาไปบุกล้อมตึกเก่า อันเป็นที่ซ่องสุ่มของแก๊งมาเฟียตัวเอ้ เพื่อหวังจะลากตัวหัวโจกมาเข้าคุก

จากนั้นหนังก็เข้าสู่โหมดบู๊แหลก แก๊งวายร้ายก็ตายยากตายเย็น พระเอกก็ไม่ธรรมดา ทนฉิบเป๋ง ทั้งสองฝ่ายสู้กันมันหยด ไล่ล่ากันอย่างไม่ลดละ มีพลิกผันเรื่องพี่ชายน้องชายที่เดินคนละเส้นทาง ใส่อารมณ์ซึ้งเล็กน้อย เกือบจะเผยตัวการรับสินบน

แน่นอน ตอนจบของหนัง ไม่มีวลีเด็ด “ช้างกูอยู่ไหน” (หุหุ) แล้วก็ไม่ได้โบนัสพิเศษหลังช่วยชีวิตลูกรัฐมนตรีได้สำเร็จ แต่เรื่องนี้? จ้างให้ก็ไม่บอก ต้องไปดูเอง 555