posttoday

เล่าขานตำนานเพลง โดย ประสาร มฤคพิทักษ์

03 พฤศจิกายน 2564

แสงดาวแห่งศรัทธา : คนยังคงยืนเด่นโดยท้าทาย

พร่างพรายแสง ดวงดาวน้อยสกาว

ส่องฟากฟ้า เด่นพราวไกลแสนไกล

ดั่งโคมทอง ส่องเรืองรุ้งในหทัย

เหมือนธงชัย ส่องนำจากห้วงทุกข์ทน

พายุฟ้า ครืนข่มคุกคาม เดือนลับ

ยามแผ่นดินมืดมน

ดาวศรัทธา ยังส่องแสงเบื้องบน

ปลุกหัวใจ ปลุกคนอยู่มิวาย

ขอเยาะเย้ย ทุกข์ยากขวากหนาม

ลำเค็ญ คนยังคง ยืนเด่นโดยท้าทาย

แม้นผืนฟ้า มืดดับเดือนลับมลาย

ดาวยังพราย ศรัทธาเย้ยฟ้าดิน

ดาวยังพราย อยู่จนฟ้ารุ่งราง

เพลงยอดนิยมเพลงน้ีไม่มีวันจืดจางไปจากบรรยากาศการเมืองภาคประชาชน เป็นเพลงที่เอื้ออาทรต่อประชาชนทุกสีไม่ว่าจะเป็น สีเหลือง สีแดง สีธงชาติ หรือสีอื่นใด เป็นเพลงที่ข้ามลัทธิ ความเชื่อ และอุดมการณ์ทางการเมืองทั้งปวงและยังก้าวข้ามกาลเวลา เป็นเพลงอกาลิโก

ที่น่าสนใจคือเป็นเพลงที่เกิดในคุกลาดยาวเป็นการเขียนคำร้องและแต่งทำนองด้วยฝีมือเขียนของ จิตร ภูมิศักดิ์ ซึ่งเป็นนักประวัติศาสตร์ เป็นปราชญ์ เป็นนักภาษาศาสตร์ นักวรรณคดี นักคิดนักเขียน และนักต่อสู้เพื่อประชาชน ซึ่งฝากผลงานเขียนทางวิชาการที่ลุ่มลึกไว้มากมายและมีผลงานเพลงไว้หลายเพลง ทั้งๆ ที่มีชีวิตอยู่เพียงอายุ 36 ปีเท่านั้น

ความคิดของจิตร ภูมิศักดิ์ ก้าวหน้าเกินกว่าคนในรุ่นเดียวกันจะคาดคิด เขาถูกจับ “โยนบก” ที่หอประชุมใหญ่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เนื่องจากเขาเป็นสาราณียกร ที่มีหน้าที่ทำหนังสือชื่อ “มหาวิทยาลัย” ที่ตีพิมพ์ในวาระ 23 ตุลาคม 2496 ซึ่งเป็นวันปิยะมหาราช โดยทำหนังสือที่แปลกต่างจากที่ทำมาในปีก่อนหน้า ทั้งเรื่องรูปแบบปก และเน้ือหาที่ก้าวหน้า มีคนซึ่งรับความคิดเขาไม่ได้กรูกันข้ึนไปบนเวทีหอประชุมแล้วจับ เขาโยนจากเวทีลงสู่พื้นต่างระดับถึง 5 ฟุต คือเป็นการลงโทษกันเองตามอำเภอใจที่ยังไม่มีใครทำมาก่อน ท่ามกลางสายตาของนิสิตจุฬาฯ ราว  3,000 คน จนเมื่อ 28 ต.ค. 64 น้ี กรรมการนิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์จุฬาฯ ต้องออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจและขอโทษต่อ จิตร ภูมิศักดิ์ และครอบครัวจากเหตุการณ์ในคร้ังนั้น เมื่อ 68 ปีที่แล้ว

ในยุคเผด็จการ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี ที่มีการจับกุมกวาดล้างผู้คนฝ่ายก้าวหน้านั้น จิตร ภูมิศักดิ์ ถูกจับคุมขังด้วยข้อหาคอมมิวนิสต์ และทำผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในและภายนอกราชอาณาจักร ในที่สุดศาลทหารพิพากษาว่าเขาบริสุทธ์ิ ไม่มีความผิดใดๆ และยกฟ้อง ปล่อยตัวไปเมื่อปี 2507 หลังจาก จิตร ภูมิศักดิ์ ถูกคุมขังอยู่เป็นเวลา 6 ปีกว่า

ในคุกลาดยาวนั้นเอง นอกจากชวนเพื่อนในคุกทำการเกษตรปลูกผักสวนครัว เขายังแปลหนังสือเรื่อง “แม่” ของแมกซิม กอร์กี้ แปลงานเขียนเรื่อง “แม่” ของอินเดีย และยังตั้งวงดนตรีไทย แถมแต่งเพลง “บทเพลงแห่งลาดยาว” ไว้หลายเพลง วงดนตรีไทย จิตรเล่นเครื่องจะเข้ แล้วยังมี  อุดม ศรีสุวรรณ ประเวทย์ บูรณกจิ ไขแสง สุกใส เชลง กัทลีรดพันธ์ อศิรา อมันตกุล และคนอื่นๆ ประกอบวง

เพลงที่จิตรแต่งมี มาร์ชลาดยาว ฟ้าใหม่ มาร์ชชาวนาไทย เสียงเพรียกจากมาตุภูมิ รำวงวันเมย์เดย์ ที่โดดเด่นที่สุดคือ เพลงแสงดาวแห่งศรัทธา

วิเคราะห์กันว่าเป็นแรงบันดาลใจอันเนื่องมาจากร้ัวรอบขอบคุกซึ่งจำกัดอิสรภาพของเขาในที่จำกัด แต่คุกไม่อาจกีดกั้นสายตาที่มองข้ึนไปยังฟากฟ้ากรุงเทพฯ ได้

ในค่ำคืนไร้เดือนอันมืดสนิท มีแต่แสงดาวระยิบระยับ เขามองออกไปจากกรงขังมองเห็นดวงดาวพราวพร่างบนท้องฟ้า งามกระจ่างจนไม่อาจจะอดใจได้ที่จะเขียนบทเพลงข้ึนมา ในยามชีวิตมืดมิดที่ไร้อิสรภาพ ยังมีดาวสว่างเรืองปรากฏเให้เป็นความหวัง ปลุกหัวใจผู้คน ทั้งยังเยาะเย้ยทุกข์ยากขวากหนามลำเค็ญ โดยถือแน่วแน่ว่า ถึงอย่างไร ไมว่าจะมีอุปสรรคอะไรก็ตาม คนยังคงยืนเด่นโดยท้าทาย

     “แม้ผืนฟ้า มืดดับเดือนลับมลาย ดาวยังพรายศรัทธาเย้ยฟ้าดิน ดาวยังพรายอยู่จนฟ้ารุ่งราง”

เล่าขานตำนานเพลง โดย ประสาร มฤคพิทักษ์

โดยปราศจากความผิดใดๆ เมื่อออกจากคุกในปี 2507 จิตรตัดสินใจเข้าต่อสู้ด้วยอาวธุร่วมกับกองทัพปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทยของพรรคคอมมิวนิสต์ไทย และอีก 2 ปีต่อมา เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2509 เขาถูกอดีตกำนัน ต.คำบ่อ ยิงเสียชีวิต ที่ทุ่งนากลางป่าละเมาะ บ้านหนองกุง ต.คำบ่อ อ.วาริชภูมิ จ.สกลนคร แรงศรัทธาของคนที่รักจิตร ภูมิศักดิ์ ทำใหเ้กิดอนุสาวรียข์องเขา ณ สถานที่นั้น เป็นประจักษ์พยานชีวิตการต่อสู้เพื่อประชาชนสำหรับคนรุ่นต่อมา

ในยุคหลัง 14 ตุลาคม 2516 ที่สังคมไทยเปิดประชาธิปไตยอย่างกว้างขวางนั้น ชีวิตและผลงานของ จิตร ภูมิศักดิ์ ทั้งหนังสือ งานวิชาการ บทเพลง เป็นบทเรียน เป็นแบบอย่างการต่อสู้เพื่อประชาชนของเยาวชนคนหนุ่มสาว

หงา คาราวาน แต่งเพลง “จิตร ภูมิศักดิ์” กลายเป็นเพลงเอกเพลงหนึ่งของวง เป็นเพลงที่ผู้คนฟังกันแพร่หลาย แม้จนวันน้ี

ไม่ว่าการชุมนุมทางการเมืองคร้ังใด รวมถึงการสังสรรคข์องประชาคมการเมือง หากมีดนตรีประกอบ เพลงแสงดาวแห่งศรัทธา จะถูกเลือกเป็นเพลงลำดับแรก เมื่อทำนองเพลงน้ีดังข้ึนจากวงดนตรี พลังของเพลงจะดึงดูดให้คนในงานพากันเปล่งเสียงร้องเพลงน้ีกระหึ่มข้ึนอย่างมีความรู้สึกร่วม เป็นอารมณ์ที่รวมหลอมอย่างเป็นหน่ึงเดียวกัน

คำเรียงร้อยในเนื้อเพลงอันสละสลวย ความหมาย และท่วงทำนองที่กินใจผู้คน โดยเฉพาะในยามทุกข์ยาก ในยามลำบาก ในยามท้อแท้สิ้นหวัง  จะปลุกเร้าหัวใจผู้คนให้เห็นแสงดาวแห่งศรัทธา เป็นการปลุกพลังหวังขึ้นมาในหัวใจอย่างไม่รู้จบสิ้น

โดย : ประสาร มฤคพิทักษ์ / [email protected]