posttoday

สายลับ 'มึนฮาเอ๋อ' มาอีกแล้ว

04 พฤศจิกายน 2561

การกลับมาหลังจากภาคสอง 7 ปี และภาคแรก 15 ปี

โดย เพรงเทพ 

การกลับมาหลังจากภาคสอง 7 ปี และภาคแรก 15 ปี ในปีนี้จึงได้เห็นความเหี่ยวย่นและร่วงโรยไปของ “มิสเตอร์บีน” ไม่ใช่สิ “จอห์นนี อิงลิช” ต่างหาก

สายลับแห่งเอ็มไอ 7 ซึ่งรับบทโดยดาราตลกหน้าตาย โรแวน แอตคินสัน ซึ่งมีจังหวะการเล่นตลกท่าทาง (Comedy of manner) อันเป็นเอกลักษณ์

หากใครได้ชมภาคก่อนทั้ง 2 ภาค คือ “Johnny English” ปี 2546 และ “Johnny English Reborn” ปี 2554 ก็คงไม่ผิดหวังอะไร

มาตรฐานความฮาความเลอะเทอะไม่เอาอ่าวเพื่อสร้างความสนุกลุ้นระทวยระทึก และปราบเหล่าร้ายแบบบังเอิญยังมีอัดแน่นและฮาบันเทิงกันอย่างไม่ขาดสายตามท้องเรื่อง

สายลับ 'มึนฮาเอ๋อ' มาอีกแล้ว

ความเปิ่นเฉิ่มเฟอะฟะแต่เอาตัวรอดได้อย่างสง่างาม แล้วก็มาตบท้ายให้ฮาแบบหลุดๆ กันอีก หลังจากปราบตัวร้ายและได้รับชัยชนะปกป้องโลกจากหายนะได้ จึงเป็นการฮาซ้ำ
ฮาซ้อนที่สนุกมากๆ

เพราะฉะนั้น จอห์นนี อิงลิช จึงประสบความสำเร็จในฐานะสายลับแบบแอนตี้ฮีโร่ที่ได้ใจคนดู และเป็นภาพซ้อนทับมิสเตอร์บีนอีกทีหนึ่งที่ไม่สร้างความตะขิดตะขวงใจในบทบาทนี้

ประเด็นของภาพยนตร์สายลับ จอห์นนี อิงลิช ในภาคนี้ เป็นการปะทะกันระหว่างความทันสมัยเทคโนโลยีในยุคดิจิทัลสุดล้ำ กับความเชยแบบอนุรักษนิยมของคนรุ่นอะนาล็อก ฝ่ายหนึ่งคิดจะครองโลกและอีกฝ่ายหนึ่งปกป้องรักษาโลกไว้ สร้างสมดุลให้เกิดขึ้น เรียกว่าเก่ากับใหม่ที่วิ่งชนกัน แต่บทสรุปคือความดีย่อมชนะความชั่วในที่สุด

การปลดระวางสายลับรุ่นเก่า จอห์นนีอิงลิช ต้องไปเป็นครู แต่ถูกเรียกตัวกลับมาปฏิบัติภารกิจในวัยที่เริ่มโรยรา เพราะสายลับรุ่นใหม่ถูกเปิดโปง เอาเป็นว่าคนดูภาพยนตร์สไตล์นี้ก็ไม่ได้คิดอะไรมากในความสมจริง เพียงแต่ให้เรื่องเดินไปอย่างสนุกและลื่นไหล ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ และปล่อยมุขขำฮาเฮออกมาเป็นระลอกๆ ก็น่าพอใจแล้ว ซึ่งก็ทำได้ดีทีเดียว

สายลับ 'มึนฮาเอ๋อ' มาอีกแล้ว

การเติมตัวละครสาวเซ็กซี่ สายลับรัสเซีย ก็เพิ่มเสน่ห์และสีสันให้กับตัวเรื่องใช่น้อย รวมถึงตัวร้าย เจสัน โวลตา ซึ่งเป็นเจ้าพ่อด้านเทคโนโลยีที่คิดจะครองโลก เป็นภาพสัญญะตัวแทนของคนรุ่นใหม่ที่เติบโตและร่ำรวยจากธุรกิจสื่อดิจิทัลต่างๆ และคิดจะให้โลกใบนี้อยู่ในการควบคุมของตัวเอง ผ่านการยึดครองและครอบงำกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก ซึ่งสมมติเป็น จี12

การสะท้อนให้เห็นวิธีคิดล้าหลังแบบนักการเมืองของกลุ่มหัวอนุรักษนิยมที่เดินตามโลกไม่ทัน ผ่านภาพของนายกฯ หญิงแห่งอังกฤษ ก็สะท้อนอะไรบางอย่างออกมาได้ดีพอสมควร รวมถึงตัวละครอื่นๆ รอบข้าง แม้กระทั่งจอห์นนี อิงลิช เองก็ตาม

แต่สิ่งหนึ่งที่น่าคิด เมื่อมองข้ามภาคความบันเทิงและดูสนุกลุกนั่งสบายขององค์รวมทั้งหมด ความสัมพันธ์ระหว่างคู่หูคือจอห์นนี อิงลิช กับผู้ช่วยที่ติดตามคือ โบห์น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง

สายลับ 'มึนฮาเอ๋อ' มาอีกแล้ว

เมื่อลูกพี่ผิดพลาดและเฟอะฟะเซ่อซ่า เขาก็ยอมรับเป็นกองหนุนช่วยเหลืออย่างเต็มที่และไม่งอแงปริปากบ่น ยังเดินหน้าช่วยจนสำเร็จในภารกิจ แม้จะเป็นอย่างไรก็ตาม ทั้งที่ทั้งหลายทั้งปวงนั้น ตัวผู้ช่วยดูน่าฉลาดและเก่งกว่าด้วยซ้ำ แต่ยอมเป็นรองและเคารพนับถืออย่างสุดหัวจิตหัวใจ

ทำให้นึกถึงนวนิยายคลาสสิกของโลกอย่าง “ดอนกิโฆเต้ แห่งลามันช่า ขุนนางต่ำศักดิ์นักฝัน” (El ingenioso hidalgo don Quixote de la Mancha) ที่เขียนโดย มิเกล เด เซร์บันเตส ซาอาเบดรา ยอดนักเขียนชาวสเปน ซึ่งนิยมอ่านกันแพร่หลายในศตวรรษ 16 หรือยุคกลาง

ดอน กิโฆเต้ เด ลา มันช่า แต่งขึ้นมาเพื่อเสียดสีนิยายอัศวินยุคกลาง ดังนั้นผู้แต่งจึงสร้างโครงเรื่อง ตัวละครเอก และนำเสนอแนวคิดที่เสียดสีนิยายดังกล่าว แต่ขณะเดียวกันการกระทำและอุดมการณ์ของตัวละครเอกได้สะท้อนให้เห็นภาพของมนุษย์ ที่พยายาม
รักษาอุดมการณ์ของตนเองไว้ ท่ามกลางความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ลักษณะดังกล่าวได้กลายเป็นแนวคิดสำคัญที่มีอิทธิพลต่อวรรณกรรมในสมัยต่อๆ มา

ดอน กิโฆเต้ มีอัศวินสำรองนาม ซานโช่ ปันซ่า ชาวนาพุงพลุ้ยผู้ยอมติดตามไปด้วย เพื่อให้บรรลุอุดมการณ์แห่งอัศวินซึ่งเขาปรารถนา เพื่อกระทำความดีงามทั้งหลายในนามแม่หญิงแห่งดวงใจ

สายลับ 'มึนฮาเอ๋อ' มาอีกแล้ว

จอห์นนี อิงลิช ในภาคนี้ก็เช่นกัน ในช่วงท้ายสุดจนจบเรื่อง เขาสวมใส่ชุดเกราะเหล็กครอบตัวเองของอัศวินยุคกลางตั้งแต่หัวจรดเท้า ซึ่งก็เปรียบเหมือน ดอน กิโฆเต้ นั่นเอง ส่วน โบห์ ที่ตามติดช่วยเหลือรับใช้ก็คือ ซานโช่ และตอนจบเรื่องก็ทำให้คิดถึงตอนที่ ดอน กิโฆเต้ กล่าวกับซานโช่ ว่า

“ซานโช่เอ๋ย พึงรู้ไว้ด้วยว่าผู้จะเป็นคนเหนือคนได้นั้นจักต้องเผชิญความลำเค็ญยิ่งกว่าผู้อื่น ลมพายุลูกแล้วลูกเล่าที่เราประสบเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าหลังฝนซาฟ้าก็ใส อีกมิช้านานสิ่งดีๆ จักบังเกิดแก่เรา อันเป็นธรรมดาของโลกที่ชั่วเจ็ดทีย่อมดีเจ็ดหน เมื่อความทุกข์ยากอยู่คู่เรามานานแล้ว แต่นี้ไปความสุขก็คงอยู่มิห่างเรานัก”