posttoday

นรกแสนโศกศัลย์ ต้องรอวันรู้แจ้ง

09 กันยายน 2561

ปัจจุบันก็ยังมีภาพยนตร์จีนเข้ามาลงโรงในเมืองไทยอยู่เรื่อยๆ โดยเฉพาะภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่คาดหมายว่าจะทำเงินหรือประสบความสำเร็จในจีนมาเรียบร้อยแล้ว

โดย เพรงเทพ

ปัจจุบันก็ยังมีภาพยนตร์จีนเข้ามาลงโรงในเมืองไทยอยู่เรื่อยๆ โดยเฉพาะภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่คาดหมายว่าจะทำเงินหรือประสบความสำเร็จในจีนมาเรียบร้อยแล้ว ปีหนึ่งก็มีอย่างน้อยสิบเรื่องที่เข้ามา

ในรอบเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา ก็มีภาพยนตร์กำลังภายในแฟรนไชส์ที่ถือว่าประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์วงการภาพยนตร์จีน เข้ามาฉายในเมืองไทยทุกภาค ล่าสุดมาถึงภาคที่ 3 ที่มีชื่อว่า “Detective Dee : The Four Heavenly Kings” (ตี๋เหรินเจี๋ย ปริศนาพลิกฟ้าจตุรเทพ)

ว่าไปแล้ว ตี๋เหรินเจี๋ย วีรบุรุษนักสืบแห่งวังหลวงที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์จีน มีชื่อรองว่า ไหวอิง เป็นอัครมหาเสนาบดีแห่งราชวงศ์ถัง ในรัชศก อู่ เจ๋อเทียน (จักรพรรดินีบูเช็กเทียน) เป็นข้าราชการหนึ่งในหลายๆ คนซึ่งได้รับการสรรเสริญมากที่สุดในรัชศกดังกล่าว และเป็นที่สดุดีว่ามีบทบาทผลักดันให้ อู่ เจ๋อเทียน เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบอันโหดร้ายเป็นระบอบอันเชิดชูคุณธรรม

นับได้ว่าเป็นการนำเอาบุคคลจริงในประวัติศาสตร์มาสร้างเป็นฮีโร่ให้คนในยุคใหม่ได้ติดตาม และนำเข้าสู่วัฒนธรรมบันเทิงได้อย่างแยบยล ด้วยการนำเรื่องราวอิงประวัติศาสตร์สร้างให้ตัวละครตัวนี้มีทั้งไหวพริบ ความฉลาดเฉลียว และเชี่ยวชาญในเรื่องการสืบสวนคดีที่ไขปริศนาไม่ได้ จนได้รับการขนานนามว่า เป็น “เชอร์ล็อกโฮล์มส์แห่งเอเชีย”

นรกแสนโศกศัลย์ ต้องรอวันรู้แจ้ง

สิ่งที่เด่นที่สุดของตี๋เหรินเจี๋ย ก็คือเป็นนักสืบสามารถคลี่คลายคดีปริศนาต่างๆ โดยเฉพาะคดีที่เกี่ยวข้องกับความพยายามล้มบัลลังก์ของบูเช็กเทียน โดยใช้ทั้งหลักนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์และมนุษยธรรมเข้ามาช่วย และมีการเขียนเป็นนวนิยายออกมาหลายเวอร์ชั่นโดยนักเขียนหลายคน

ภาพยนตร์ Detective Dee ทั้งสอง เรื่องแรก คือ “Detective Dee : and the Mystery of the Phantom Flame” (ตี๋เหรินเจี๋ย ดาบทะลุคนไฟ) ในปี 2553 “Young Detective Dee : Rise of the Sea Dragon” (ตี๋เหรินเจี๋ย ผจญกับดักเทพมังกร) ปี 2556 ต่างทำเงินสูงสุดเป็น 1 ใน 5 อันดับภาพยนตร์ทำเงินสูงสุดในปีที่ออกฉาย เมื่อจบการฉายในโรงภาพยนตร์ ภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องทำเงินรวมไปกว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการเข้าฉายในหลายประเทศทั่วโลก

สำหรับภาค 3 นี้ทิ้งห่างจากภาค 2 ถึง 5 ปี แต่เรื่องราวยังเชื่อมต่อกับภาค 2 แบบต่อเนื่องไม่ขาดตอน หลังจากที่ตี๋เหรินเจี๋ยปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือบ้านเมืองได้สำเร็จ จึงได้รับความดีความชอบจากฮ่องเต้ ด้วยการประทานพลองมังกรให้ เป็นพลองอาญาสิทธิ์ที่สามารถลงโทษผู้กระทำผิดต่อแผ่นดินได้ ไม่เว้นแม้แต่เชื้อราชวงศ์

ด้วยอาญาสิทธิ์ระดับนี้ สร้างความขุ่นเคืองใจให้กับพระนางบูเช็กเทียน ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับตี๋เหรินเจี๋ยมาตลอด และคิดว่าการที่ตี๋เหรินเจี๋ยมีพลองมังกรจะมีอำนาจต่อรองกับตนได้ พระนางจึงเรียกใช้ อวี้ฉือเจิ้นจิน หัวหน้าองครักษ์ทองคำ ให้หาทางขโมยพลองมังกรคืนมาจากตี๋เหรินเจี๋ย และมอบหมายให้ 5 จอมยุทธพิสดารตามไปช่วยเหลืออวี้ฉือเจิ้นจินปฏิบัติภารกิจนี้

นรกแสนโศกศัลย์ ต้องรอวันรู้แจ้ง

ระหว่างที่ภารกิจชิงพลองดำเนินไปนั้น ก็ยังมีเรื่องราวของพรรคมารวายุจากชมพูทวีป ที่มีความแค้นเคืองกับราชวงศ์ต้าถังมาแต่อดีตกาล ก็หาทางโจมตีราชวังหมายปลงพระชนม์ฮ่องเต้และฮองเฮาเสีย ตี๋เหรินเจี๋ยจึงต้องรับมือกับศึกทั้งสองทางในคราเดียวกัน

นั่นคือเรื่องราวย่อๆ ตามท้องเรื่องที่วางเป็นโครงสร้างหลักของตัวภาพยนตร์ โดยภาพรวมทั้งหมดก็ถือว่าเป็นภาพยนตร์ที่ครบเครื่องในเรื่องของการดูเพื่อความบันเทิงอย่างสนุกสนาน ในฐานะของภาพยนตร์กำลังภายในหรือแอ็กชั่นที่มีส่วนผสมของแฟนตาซีและการสร้างความน่าตื่นตาตื่นใจจากซีจีเข้ามาให้เกิดความอลังการ ซึ่งถือว่าครบเครื่องทำได้ดี

อย่างที่ว่าบทภาพยนตร์ค่อนข้างที่จะเขียนขึ้นมาเพื่อความบันเทิงโดยเฉพาะตัวละครต่างๆ ที่วางไว้ครอบรวมทั้งตัวหลัก ตัวรอง ตัวร้าย ตัวประกอบ มีรักโลภโกรธหลงอย่างพอดิบพอดี รวมถึงความไม่สมบูรณ์แบบของพระเอกด้วย

การวางสถานการณ์ให้ขมวดไปสู่จุดจบ ความขัดแย้งที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของตัวละครเอก รวมถึงตัวละครที่เต็มไปด้วยความแปลกประหลาดและลึกลับ แต่สุดท้ายก็ขมวดไปสู่โหมดของธรรมะที่ย่อมชนะอธรรมอยู่เสมอ

นรกแสนโศกศัลย์ ต้องรอวันรู้แจ้ง

หากสรุปแล้ว รีดเอาแก่นเดียวที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องการนำเสนอ หยิบคำกล่าวที่เป็นกุญแจของการปราบมารหรือเหล่าร้าย คือ “Hell is full of sufferers, so enlightenment must wait” ซึ่งในภาพยนตร์แปลเป็นไทยออกมาว่า “นรกแสนโศกศัลย์ ต้องรอวันรู้แจ้ง”

ท้ายที่สุดก็มีหลวงจีนมาแก้ไขวิกฤตสุดท้าย ด้วยประโยคที่ว่า “หากไม่ลงนรกแล้วใครจะลง” เพื่อป้องกันการเกิดนรกบนดิน นี่คือการนำเอาพระพุทธศาสนานิกายมหายาน มาใช้นำเสนอแบบตรงๆ เลยทีเดียว

จุดเด่นของนิกายมหายาน อยู่ที่แนวคิดเรื่องการบำเพ็ญตนเป็นพระโพธิสัตว์ สร้างบารมีเพื่อช่วยเหลือสรรพชีวิตในโลกไปสู่ความพ้นทุกข์

มหายาน มาจากธาตุศัพท์ภาษาบาลี-สันสกฤต มหา+ยาน แปลว่า พาหนะที่ใหญ่ ตามความเชื่อของพุทธศาสนิกชนฝ่ายมหายาน คำว่ามหายาน ไม่เพียงแต่เป็นยานใหญ่และสูงสุดเท่านั้น หากเป็นยานที่รื้อขนสรรพสัตว์ได้ทุกประเภททุกวัย รวมทั้งสัตว์โลกทุกรูปนาม เพื่อไปสู่พระนิพพาน และยานนี้ยังหมายถึงยานที่จะไปถึงพุทธภูมิ แล้วสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

นรกแสนโศกศัลย์ ต้องรอวันรู้แจ้ง

อุดมคติอันเป็นจุดหมายสูงสุดของมหายาน จึงอยู่ที่การบำเพ็ญบารมีตามแนวทางพระโพธิสัตว์ เพื่อนำพาสรรพสัตว์สู่ความหลุดพ้นจากวัฏสงสารให้หมดสิ้น

เพราะฉะนั้นในตอนจบของเรื่อง หลวงจีนที่บำเพ็ญตบะยอมออกจากสมาธิขี่คิงคองขาวมาปราบมาร จึงเป็นสัญลักษณ์ของปรัชญาในการหลุดพ้นแบบพุทธมหายานที่นำมาใส่ในภาคบันเทิงได้อย่างแนบเนียนและสนุก แม้จะดูเว่อร์วังอลังการจนเกินเหตุก็ตาม