posttoday

พลังของถ้อยคำ พลังของการแสดง

21 มกราคม 2561

หนังที่ทำให้ แกรี โอลด์แมน คว้ารางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมลูกโลกทองคำไปเมื่อสัปดาห์ก่อน Darkest Hour ผลงานของ โจ ไรท์ ผู้กำกับรางวัล

โดย  แหนง-ดู

หนังที่ทำให้ แกรี โอลด์แมน คว้ารางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมลูกโลกทองคำไปเมื่อสัปดาห์ก่อน Darkest Hour ผลงานของ โจ ไรท์ ผู้กำกับรางวัลบาฟตา หนังสร้างจากชีวิตของ วินสตัน เชอร์ชิลล์ นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ โดยเฉพาะช่วง 4 สัปดาห์แรกหลังเข้ารับตำแหน่งของเขา ขณะที่สงครามโลกครั้งที่ 2 กำลังเริ่มต้น

ในปี 1940 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 สถานการณ์ในยุโรปกำลังย่ำแย่ เมื่อสัมพันธมิตรพ่ายแพ้ต่อนาซี กองทัพของสหราชอาณาจักรติดอยู่ที่ฝรั่งเศส ต่อมา วินสตัน เชอร์ชิลล์ (แกรี โอลด์แมน) ถูกแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีอย่างเร่งด่วน แม้วัยจะมากถึง 65 ปีแล้ว แต่เขาก็เป็นนักการเมืองซึ่งเฉียบแหลมไว้วางใจได้

นายกรัฐมนตรีคนใหม่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ท้าทาย และทางเลือกสำคัญ จะรบหรือจะถอย ควรจะเดินไปทิศทางไหน และผลที่ตามมานั้นไม่อาจจินตนาการถึงได้ เมื่อกองทหารของฮิตเลอร์บุกใกล้เข้ามา ทหารสหราชอาณาจักร 3 แสนนายติดอยู่ที่ดันเคิร์ก ประเทศฝรั่งเศส รอคอยการช่วยเหลือ เวลาเดียวกันทางพรรควางแผนต่อต้านเขา และพระเจ้าจอร์จที่ 6 (เบน เมนเดลซอห์น) ก็ไม่แน่ใจในตัวของนายกรัฐมนตรี

พลังของถ้อยคำ พลังของการแสดง

วินสตัน เชอร์ชิลล์ ใช้เพื่อนร่วมชาติเป็นตัวตั้ง เขายืนหยัดและต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ เสรีภาพ และอิสรภาพของชาติ ด้วยกำลังใจจาก เคลมมี (คริสติน สกอตต์ โทมัส) ภรรยาผู้ร่วมสุขทุกข์ด้วยกันมากว่า 31 ปี และอลิซาเบธ เลย์ตัน เลขานุการคู่ใจ (ลิลี เจมส์)

นายกรัฐมนตรีอังกฤษได้เขียนและกล่าวสุนทรพจน์เพื่อปลุกเร้าประชาชน ใช้พลังของคำพูดเพื่อฝ่าฟันช่วงเวลามืดมิด และเปลี่ยนประวัติศาสตร์โลก

หนังพูดถึงเหตุการณ์เพียงไม่กี่วันระหว่างวันที่ 10 พ.ค.-4 มิ.ย. 1940 ซึ่งเป็นการพิสูจน์ว่า “คำพูดเปลี่ยนโลกได้”

ผลงานของ โจ ไรท์ ผู้กำกับชาวอังกฤษซึ่งเป็นที่รู้จักดีจาก Pride & Prejudice (2005), Atonement (2007), Anna Karenina (2012) ฯลฯ นำแสดงโดย แกรี โอลด์แมน, คริสติน สกอตต์ โทมัส, ลิลี เจมส์, สตีเฟน ดิลเลน, โรนัลด์ พิกอัพ และเบน เมนเดลซอห์น

แอนโทนี แม็คคาร์เทน ผู้เขียนบทเจ้าของรางวัลบาฟตาและผู้อำนวยการสร้างสนใจเรื่องราวชีวิตของตำนานผู้นี้มานาน เขาได้แรงบันดาลใจจากสุนทรพจน์และศิลปะการพูดของ วินสตัน เชอร์ชิลล์ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง Darkest Hour เพื่อ “วิเคราะห์วิธีการทำงานและคุณสมบัติของความเป็นผู้นำ และกระบวนการทางความคิด วินสตันเชื่ออย่างแรงกล้าว่าคำพูดมีความสำคัญ และเขาหยิบปากกาขึ้นมา เพื่อช่วยเขาและประเทศชาติของเขาต่อสู้กับภัยคุกคามที่น่ากลัว ในขั้นตอนนั้นทำให้เกิดวีรบุรุษขึ้น จากความดื้อดึงของเขาเอง”

พลังของถ้อยคำ พลังของการแสดง

หนังเล่าเหตุการณ์ “เปลี่ยนโลก” ที่เกิดขึ้นภายในไม่กี่วันอย่างตรงไปตรงมา เรียบง่าย แต่ก็พิถีพิถัน การแสดงของ แกรี โอลด์แมน นั้นทรงพลังมาให้สัมผัสได้ จนคนดูอยากจะลุกขึ้นยืนปรบมือเมื่อหนังจบ เขาทำให้เราได้เห็น วินสตัน เชอร์ชิลล์ ในหลากมุม

แกรี โอลด์แมน ถูกนำมาแต่งหน้าแต่งผมเสียจนจำเค้าเดิมแทบไม่ได้ ด้วยฝีมือของ คาซูฮิโร ซูจิ ช่างแต่งหน้าเทคนิคพิเศษชั้นแนวหน้า ดาราดังบอกว่า เขาเคยปฏิเสธบท วินสตัน เชอร์ชิลล์ มาก่อน เพราะเหตุผลทางด้านกายภาพ แต่เขาก็ตัดสินใจรับ เพราะรายชื่อคนที่เขาจะได้ร่วมงานด้วย และอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญคือ เขาอยากกล่าวสุนทรพจน์อันยิ่งใหญ่ “การอยู่ในสถานการณ์ที่บีบบังคับแบบนั้น ภายใต้ความกดดันแบบนั้น และเขียนถ้อยคำที่เป็นการใช้ภาษาอังกฤษที่ยอดเยี่ยมที่สุดครั้งหนึ่งออกมา เป็นเรื่องที่มหัศจรรย์มาก”

ความท้าทายของ แกรี โอลด์แมน อย่างหนึ่งคือ การฝึกทำให้เสียงเหมือนเชอร์ชิลล์ รวมทั้งเรียนรู้เกี่ยวกับเขาผ่านการอ่านและดูสารคดี ซึ่งความจริงที่ได้รู้เกี่ยวกับชายคนนี้ทำให้เขาอดที่จะทึ่งไม่ได้ “เขาอยู่ในรัฐบาลนานกว่า 50 ปี เขียนหนังสือ 50 เล่ม ซึ่งต่อมาก็ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม ได้รับการประดับเหรียญจากสงคราม 4 ครั้ง มีผลงานภาพเขียน 500 ภาพ และมีนิทรรศการแสดงภาพของเขา 16 ครั้งที่รอยัลอะคาเดมี”

Darkest Hour ให้ข้อมูลแวดล้อมของสถานการณ์อย่างเพียงพอ แม้ว่าจะไม่รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับช่วงเวลานั้น ก็สามารถเข้าใจเรื่องราวและติดตามดูได้ ใครที่ได้ดูหนังเรื่อง Dunkirk มาแล้ว มาดูเรื่องนี้ต่อ ก็จะเพลิดเพลินไปกับเรื่องราวประวัติมากขึ้นใครที่รู้จัก วินสตัน เชอร์ชิลล์ มาแล้วจากการอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ แต่หนังเรื่องนี้จะนำเสนอแง่มุมเกี่ยวกับเขาในแบบที่แตกต่างออกไป

พลังของถ้อยคำ พลังของการแสดง

หนังชีวประวัติ/ประวัติศาสตร์ย้อนยุคเรื่องนี้ยังได้สะท้อนให้เห็นถึงปัจจุบันด้วย ในภาวะที่ขาดแคลนความเป็นผู้นำ ผู้ที่สามารถรับมือกับสถานการณ์ยากลำบากและผ่านพ้นวิกฤตไปได้ อีกทั้งผู้กำกับยังคาดหวังว่า หนังเรื่องนี้จะเป็นหนังของคนทั้งโลก ไม่ใช่แค่คนอังกฤษ เพราะเรื่องราวของบุรุษผู้เป็นตำนานในเวลาที่เอาชนะอุปสรรคต่างๆ ก็เหมือนกับทุกคนบนโลกนี้ที่ต่างก็เคยเจอเหตุการณ์เช่นเดียวกันนี้มาก่อน