รื่นรมย์ในความหนาวเหน็บ

โดย แหนง - ดู

เด็กและเยาวชนจำนวนมากของโลกนี้เติบโตขึ้นมาโดยมีเรื่องราวของ คริสโตเฟอร์ โรบิน และผองเพื่อนสิงสาราสัตว์แห่งป่าหนึ่งร้อยเอเคอร์ อย่างเช่น หมีพูห์ พิกเลต อียอร์ ทิกเกอร์ แร็บบิท แคงก้า รู ฯลฯ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต พวกเขาคือ ตัวละครจากหนังสือเรื่อง Winnie-the-Pooh (1926) และ The House at Pooh Corner (1928) ซึ่งถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในหนังสือเด็กและเยาวชนอันดับต้นๆ ของโลก

หนังสือ 2 เล่มที่ว่านั้นเป็นผลงานการเขียนของ เอ เอ มิลน์ พร้อมภาพประกอบฝีมือ เออร์เนสต์ เอช. เชพาร์ด โดยนักเขียนได้นำเรื่องราวของลูกชายผสมจินตนาการสร้างสรรค์เป็นหนังสือที่ได้ใจคนทั่วโลก หลังจาก คริสโตเฟอร์ โรบิน ได้รับตุ๊กตาเท็ดดี้แบร์เป็นของขวัญ เขาตั้งชื่อมันว่า เอ็ดเวิร์ด ตุ๊กตาตัวนี้ทำจำลองจากหมีแคนาดาตัวจริงชื่อ วินนิเพ็ก ในสวนสัตว์ลอนดอน นั่นเป็นจุดเริ่มต้นให้เกิดตัวละคร วินนี เดอะ พูห์ หรือหมีพูห์ ที่รู้จักกันทั่วโลก ไม่ได้มีแต่ตุ๊กตาหมี คริสโตเฟอร์ โรบิน บิลลี มูน ยังเป็นเจ้าของตุ๊กตาอีกหลายๆ ตัว ซึ่งกลายมาเป็นอีกหลายตัวละครใรเรื่องแต่ง โดยเรื่องราวเบื้องหลังการกำเนิดหนังสือดังนั้นถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในชื่อ Goodbye Christopher Robin หรือ “แด่ คริสโตเฟอร์ โรบิน ตำนานวินนี เดอะ พูห์”

เหตุการณ์ในหนังเริ่มต้นหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 บลู หรือ เอ เอ มิลน์ (โดห์นัลล์ กลีสัน) นักเขียนบทละครผู้โด่งดังในเวสต์เอนด์และภรรยา คือ ดาฟเน (มาร์โกต์ ร็อบบี) ก็มีลูกชายด้วยกันหนึ่งคนคือ คริสโตเฟอร์ โรบิน หรือ บิลลี มูน (วิลล์ ทิลสตัน) เมื่อพ่อกับแม่ยุ่งอยู่กับงานและชีวิตของตัวเองมาก ทำให้ บิลลี มูน เติบโตมากับพี่เลี้ยงคือ โอลีฟ (เคลลี แม็คโดนัลด์)

เพราะประสบการณ์เลวร้ายในสงครามทำให้ เอ เอ มิลน์ มีอาการเครียด กลัว และหวาดผวา กลายเป็นปัญหาชีวิตและงานเขาจึงย้ายครอบครัวจากลอนดอนไปอยู่ชนบท ด้วยสถานการณ์ทำให้พ่อกับลูกที่ไม่ค่อยได้ใกล้ชิดกันนักต้องมาอยู่ด้วยกันสองต่อสอง พวกเขาได้ออกสำรวจในป่ารอบบ้าน สร้างเรื่องราวผจญภัยของ บิลลี มูน และผองเพื่อนตุ๊กตา ระหว่างนั้นผู้เป็นพ่อก็เกิดความคิดที่จะนำจินตนาการเหล่านั้นมาเขียนเป็นเรื่อง โดยชักชวนให้เพื่อน เออร์เนสต์ (สตีเฟน แคมป์เบลล์ มัวร์) มาช่วยวาดภาพประกอบ

เรื่องของ คริสโตเฟอร์ โรบิน และผองเพื่อนกลายเป็นหนังสือโด่งดัง คนเขียนและคนต้นเรื่องก็กลายเป็นที่รู้จัก หนังสือที่ทำให้คนยุคหลังสงครามโลกได้พบกับความหวังและเห็นความรื่นรมย์ของชีวิต แต่ได้สร้างผลกระทบอันยิ่งใหญ่ ก่อเกิดเป็นรอยร้าวในชีวิตจิตใจของเด็กน้อย และครอบครัวของเขา เอ เอ มิลน์ กลายเป็นนักเขียนที่ประสบความสำเร็จ แต่เป็นพ่อแม่ที่ล้มเหลว

Goodbye Christopher Robin เป็นผลงานกำกับของ ไซมอน เคอร์ติส (Woman in Gold, My Week with Marilyn) ผู้เติบโตมาจากละครเวทีและละครโทรทัศน์ จากบทภาพยนตร์โดย แฟรงค์ คอตเทรลล์-บอยซ์ (The Railway Man, Millions) และ ไซมอน วอห์น (War and Peace, Ripper Street) นักแสดงหน้าใหม่ วิลล์ ทิลสตัน ทำให้คนดูตกหลุมรักด้วยความน่ารักน่าชัง และฝีมือการแสดงที่โตเกินอายุ ส่วน โดห์นัลล์ กลีสัน กับ มาร์โกต์ ร็อบบี ก็โดดเด่นในบทบาทของพวกเขาไม่น้อย

นักอ่านที่ได้มาชมเบื้องหลังกำเนิดของหนังสือซึ่งพวกเขารัก อาจจะรู้สึก “หัวใจสลาย” ไม่น้อยกับความหม่นหมองเจ็บปวดเศร้าสร้อยซึ่งถูกนำเสนอบนแผ่นฟิล์ม กลายเป็นหนังดราม่าที่สะท้อนปัญหาครอบครัว รวมไปถึงผลกระทบของสงคราม และวัฒนธรรมความเป็น “เซเลบริตี้” ได้

หนังให้เวลากับการปูพื้นเกี่ยวกับ เอ เอ มิลน์ ค่อนข้างมาก ขณะที่บางตัวละครกลับนำเสนอให้เห็นถึงเบื้องหลังการกระทำบางอย่างน้อยไปเช่นในตัวละครของ แดฟเน ซึ่งเธอกลายเป็น “นางร้าย” ที่คนดูไม่รัก โดยที่เราก็ไม่รู้มากนักว่า อะไรเป็นแรงผลักดันให้เธอเป็นเช่นนั้น

หนังเรื่องนี้มอบสัมผัสอบอุ่นลึกซึ้ง แต่อาจจะสู้ไม่ได้กับความเยือกเย็นของ “ดาร์กไซด์” ซึ่งถูกให้น้ำหนักมากกว่า หากปรับน้ำหนักประเด็น และขยี้ตรงจุดดราม่ามากอีกหน่อย ไม่แน่ว่า หนังจะมีรสชาติและสีสันที่จัดจ้านกว่านี้