posttoday

แสงสว่างในหัวใจ... หลังพายุกระหน่ำ

11 ธันวาคม 2559

ด้วยความที่เชื่อมือผู้กำกับการแสดงชาวญี่ปุ่น ฮิโรคาสึ โคเรเอดะ ซึ่งโด่งดังไปทั่วโลกจากภาพยนตร์ลายเซ็นเฉพาะตัว

โดย...เพรงเทพ

ด้วยความที่เชื่อมือผู้กำกับการแสดงชาวญี่ปุ่น ฮิโรคาสึ โคเรเอดะ ซึ่งโด่งดังไปทั่วโลกจากภาพยนตร์ลายเซ็นเฉพาะตัวของเขาบนเวทีสายประกวดเทศกาลหนังเมืองคานส์ ในรอบ 10 กว่าปีที่ผ่านมา ภาพยนตร์ภายใต้การเขียนบทและกำกับของเขา “Nobody Knows” “Like Father, Like Son” “Our Little Sister” ต่างได้รับการกล่าวขวัญและเป็นที่จดจำในฐานะคนทำหนังที่ตีแผ่ชีวิตธรรมดาของครอบครัวชาวญี่ปุ่นที่ดำเนินไปในวันเวลาปกติว่าอยู่ในสภาวะกดดันและดีงามอย่างไร ที่จะผ่านความรวดร้าวมาให้ได้ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง เป็นเรื่องเล่าง่ายๆ ธรรมดาสามัญทั่วไป แต่มีมิติความลึกซึ้งในระดับก้นบึ้งของจิตวิญญาณและคำถามในระดับอภิปรัชญา

มนุษย์เกิดมาทำไม? เพียงเพื่อรอวันตายจากไปเท่านั้นหรือ

ฮิโรคาสึ โคเรเอดะ ได้นำเรื่องราวห้วงหนึ่งที่มนุษย์ก้าวผ่านสู่คำตอบ โดยผ่านความสัมพันธ์ในชีวิตครอบครัวมาขยายได้อย่างรวดร้าวเจ็บปวดทว่างดงาม ในฐานะปัจเจกชนที่มีสายใยของครอบครัว สายเลือดและหน่วยพันธุกรรมผูกโยงร้อยรัดกันอยู่

แสงสว่างในหัวใจ... หลังพายุกระหน่ำ

 

เช่นกัน “After the Storm” ซึ่งเข้าชิงรางวัลในสาย Un Certain Regards ในเทศกาลหนังเมืองคานส์ 2016 อย่างเป็นธรรมเนียมปกติ เพื่อตอกย้ำอัตลักษณ์ในการทำภาพยนตร์ที่ดิ่งลึกเข้าไปสู่ชีวิตครอบครัวของคนญี่ปุ่นที่ไปไม่ได้กลับไม่ถึง แต่ยังมีความฝัน ความหวังในมุมงดงามของชีวิตในเงื้อมเงาของข้อจำกัดมากมายทางเศรษฐกิจในฐานะคนชั้นกลางระดับล่างที่ปากกัดตีนถีบเพื่อก้าวสู่ชีวิตที่ดีกว่า

เรื่องราวระหว่างทางแค่ช่วงเวลาหนึ่งสั้นๆ ที่ถูกหยิบยกมา ได้กะเทาะเปลือกให้เห็นถึงแก่นแท้ของชีวิตตัวละครแต่ละตัวที่มีสายใยของคำว่าครอบครัวสอดประสานกันอยู่ แม้จะดูเหมือนไม่กลมเกลียวแต่มิขาดเยื่อยังเหลือใยที่ให้ถักทอ แม้จะขาดวิ่นไม่สมบูรณ์แต่เห็นรอยปะติดปะต่อให้เข้าสู่ความสมดุลและแง่งามของชีวิตที่ต้องดำเนินไป

เรื่องราวของเรียวตะ หนุ่มใหญ่ที่กำลังเผชิญกับภาวะวิกฤตถังแตกและถึงจุดอับตันของชีวิตครอบครัว แม้เขาจะหย่ากับภรรยา เคียวโกะ แล้วก็ตาม แต่ก็ต้องรับผิดชอบส่งเสียลูกชายวัย 11 ขวบชินโงะ เพื่อรักษาสิทธิในการที่จะได้พบกับลูกในวันสุดสัปดาห์เดือนละครั้ง

ภาพยนตร์ได้นำเสนอช่วงเวลาที่เป็นจุดเปลี่ยนและทำให้เขาพบกับความสงบของชีวิตเพื่อก้าวเดินต่อไปข้างหน้า หาฝันในฐานะนักเขียนไส้แห้งเติมเต็มตัวเองให้สมบูรณ์ ทิ้งชีวิตครอบครัวไว้ข้างหลัง ทำเท่าที่ทำได้ รู้จักปล่อยวางสิ่งที่หนักเอาไว้ เปิดทางให้ภรรยามีครอบครัวใหม่ และดูแลลูกชายเท่าที่คนเป็นพ่อพึงจะทำได้ โดยไม่หนักหนาสาหัสสากรรจ์กับชีวิตจนเกินไป

ภาพยนตร์ได้แบ่งออกเป็น 2 ช่วง โดยมีตัวละครหลักคือ เรียวตะกับแม่ เป็นแกนกลาง ช่วงแรกเปรียบเสมือนการแนะนำตัวของเรียวตะ ปมขมวดของปัญหาต่างๆ ทั้งปูมหลังครอบครัวที่เกี่ยวข้องกับพ่อและพี่สาว รวมถึงบทบาทของนักสืบเอกชนจอมแบล็กเมล์หรือข่มขู่เพื่อเรียกร้องเอาทรัพย์จากผู้กระทำผิดไม่ให้ถูกแฉ เพื่อนำเงินเหล่านั้นมาใช้จ่ายและเป็นค่าเลี้ยงดูบุตร แต่ด้วยความไร้วินัยทางการเงิน หมกมุ่นอยู่กับการพนันจักรยานแข่ง ทำให้เขาต้องหาและยืมเงินอย่างร้างไร้ทางออกให้ผ่านไปวันต่อวัน มิพักต้องพูดถึงการดูแลครอบครัว แค่ตัวเองก็เอาตัวแทบไม่รอด แต่ก็มีความฝันหนึ่งก็คือการเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่ยังฝังใจอยู่ตลอด เพราะเชื่อในพรสวรรค์ของตัวเองที่เคยได้รางวัลการประกวดมาตั้งแต่วัยหนุ่ม แม้มีหนังสือออกมาก็ไปไม่ถึงไหน เพราะงานประเภทวรรณกรรมหรือนิยาย ถูกไลท์โนเวลและมังงะยึดครองตลาดไปหมดแล้ว

แสงสว่างในหัวใจ... หลังพายุกระหน่ำ

 

ช่วงที่ 2 ของตัวหนัง เป็นการประสานรื้อฟื้นความสัมพันธ์พ่อแม่ลูก โดยมีย่าเป็นตัวเชื่อม โดยมีพายุไต้ฝุ่นหมายเลข 24 เป็นฉากหลัง เมื่อพายุสงบก็พบแสงสว่างในหัวใจของแต่ละคน แล้วเดินหน้าต่อไปตามทางของตัวเอง

ความเด็ดขาดในภาพยนตร์ก็คือความสมจริง บทสนทนาที่แฝงความคมคายและลึกซึ้งในแง่คิด บวกกับสัญญะต่างๆ ที่แทรกระหว่างตัวเรื่องได้อย่างนวลเนียนลงตัว เหมือนดูชีวิตคนจริงๆ ที่ดำเนินไปอย่างมีความหมาย เหมือนได้ทบทวนลงไปในชีวิตของตัวเอง (คนดู)

คนที่ชอบประโยคและวลีที่เปี่ยมด้วยความหมายให้ครุ่นคิดต้องชอบแน่ๆ อย่างเช่น ในตอนของลูกจ้างสาวในสำนักนักสืบเอกชนคุยกับเรียวตะตัวเอกของเรื่อง ซึ่งเธอบอกว่าผู้หญิงก็เหมือนการวาดภาพสีน้ำมัน ความสัมพันธ์ที่สะบั้นลงก็แล้วกันไป พร้อมที่จะทาทับวาดภาพใหม่ขึ้นมา โดยภาพเดิมยังคงอยู่ภายใต้ภาพใหม่ ซึ่งอธิบายความสัมพันธ์ของตัวละครเอกทั้งคู่ได้อย่างหมดจด

หรือแม้กระทั่งตอนแม่ของเรียวตะคุยถึงชีวิตของเรียวตะว่า คนเรามักจะรู้สึกความสำคัญของมันก็ตอนเมื่อเสียมันไป รวมถึงมัวแต่ไขว่คว้าสิ่งที่อยู่เสียไกลโพ้น โดยหลงลืมสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบัน การปล่อยวางจึงเป็นสิ่งที่ต้องทำ

ตัวละครในท้องเรื่องมีเสน่ห์และสำคัญหมด แม้กระทั่งพ่อของเรียวตะที่ตายไปแล้ว แค่ถูกเอ่ยถึงก็มีพลังต่อตัวเรื่องอย่างมหาศาล แต่ตัวประกอบที่เป็นจิ๊กซอว์หรือตัวต่อสำคัญต่อพัฒนาการตัวละครเอกคือเรียวตะ นอกจากแม่ที่เป็นกุญแจสำคัญแล้ว คู่หูนักสืบวัยหนุ่มก็สำคัญในการคอยเยียวยาและช่วยเหลือเรียวตะให้อยู่รอด ด้วยประสบการณ์ของลูกที่ไม่มีพ่อ เพราะถูกห้ามพบจนเขาอายุ 20 ปี เนื่องจากไม่มีความสามารถในการเลี้ยงดูตามคำสั่งศาล

สรุปคือเป็นหนังดราม่าดีเยี่ยม สมควรชมเป็นอย่างยิ่ง แต่น่าเสียดายที่ชื่อภาพยนตร์ซึ่งถูกตั้งเป็นภาษาไทยแล้วก็รู้สึกว่าทอนคุณค่าของตัวภาพยนตร์อักโข...แต่ไม่เป็นไร ของดีคือของดีวันยังค่ำ