นิติวัฒน์ สัตยาประเสริฐ คอนโดคลาสสิกกลางเมือง

เรื่อง ภาดนุ ภาพ อมรเทพ โชติเฉลิมพงษ์

นัต-นิติวัฒน์ สัตยาประเสริฐ อดีตเจ้าหน้าที่องค์การสหประชาชาติ นครเจนีวา ปัจจุบันเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของ ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ คือคนรุ่นใหม่ที่ใช้ชีวิตและทำงานอยู่ในเมืองกรุง เขาและภรรยาจึงตัดสินใจเลือกคอนโดซึ่งมีพื้นที่กว้างขวางย่านกลางเมืองเป็นที่พักอาศัย ที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ประจำวันของทั้งคู่ได้เป็นอย่างดี

“ผมได้พบกับภรรยา (มินต์-มนสิชา วงศ์มณี) ในช่วงที่ผมไปเรียนต่อปริญญาโทด้านเศรษฐศาสตร์ ที่ฝรั่งเศส แล้วตอนนั้นเธอก็ไปเรียนปริญญาโทด้านละครเวที ที่ฝรั่งเศสพอดี เราก็เลยได้รู้จักกัน เมื่อเรียนจบผมก็ได้ไปทำงานเป็นเจ้าหน้าที่องค์การสหประชาชาติ (UN) อยู่ที่นครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ เราสองคนก็แต่งงานและอยู่ด้วยกัน ผมทำงานอยู่ที่เจนีวาได้ 8 ปี เมื่อหมดหน้าที่จากตรงนั้น เราสองคนก็ตัดสินใจเดินทางกลับมาเมืองไทย และเริ่มมองหาที่อยู่ซึ่งเป็นอพาร์ตเมนต์ห้องใหญ่ๆ ใจกลางกรุงเทพฯ เพราะตอนอยู่ที่เจนีวาเราคุ้นเคยกับการอยู่อพาร์ตเมนต์กันมานาน

ด้วยความที่เมืองไทยไม่มีอพาร์ตเมนต์ที่มีห้องใหญ่ๆ เนื้อที่กว้างๆ และสามารถใช้งานได้หลายห้องเหมือนที่เจนีวา เราก็เลยต้องมองหาห้องพักในรูปแบบคอนโด ซึ่งมีพื้นที่มากพอกับความต้องการ กระทั่งได้มาเจอคอนโดอารีย์สัมพันธ์ เพลส ในย่านอารีย์ ซึ่งเป็นคอนโดที่มีพื้นที่กว้างขวาง สามารถกั้นเป็นห้องต่างๆ ได้ เพราะเป็นคอนโดรุ่นเก่าที่สร้างมากว่า 14 ปีแล้ว พื้นที่เลยกว้างมาก ผมกับภรรยาจึงตัดสินใจซื้อคอนโดนี้ต่อจากเจ้าของเดิม

อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ เราได้ขนของจากอพาร์ตเมนต์ที่เคยอยู่ในเมืองเจนีวามาด้วยบางส่วน เราจึงคิดกันว่าคงต้องหาคอนโดที่สามารถอยู่ได้อย่างถาวร เพราะของตกแต่งที่ขนมาก็ค่อนข้างเยอะ จะได้ไม่ต้องเสียเงินซื้อของใหม่ทั้งหมด

ตอนที่ย้ายเข้ามาอยู่ที่คอนโดนี้ เจ้าของเดิมซึ่งอยู่มา 10 ปี ไม่ค่อยได้ตกแต่งห้องมากนัก เราก็เลยมาออกแบบโครงสร้างภายในใหม่ โดยทุบผนังเพื่อกั้นห้องใหม่บางส่วน ซึ่งแปลนของคอนโดห้องนี้ใกล้เคียงกับพื้นที่การใช้งานที่เราคิดกันไว้ในใจ ทุกอย่างจึงลงตัวได้ง่ายขึ้น อีกอย่างแถวนี้ก็เงียบสงบดีด้วยครับ”

นัต บอกว่า สำหรับของตกแต่งบ้านที่ขนมาจากเจนีวา ซึ่งนำมาใช้ที่คอนโดนี้ได้ ก็เช่น เก้าอี้ไม้ โซฟาที่ทำจากผ้าและของตกแต่งอื่นๆ ซึ่งสามารถจัดวางได้อย่างลงตัวบนพื้นที่ 100 ตารางเมตร ของคอนโดได้เป็นอย่างดี

“ตั้งแต่ซื้อคอนโดปีนี้ก็เข้าสู่ปีที่ 4 แล้วที่เราอยู่มา สำหรับการตกแต่งเราขอจำกัดความว่าเป็นการตกแต่งในสไตล์คลาสสิกละกันครับ ซึ่งคาแรกเตอร์ของการแต่งแบบคลาสสิกก็คือ การใช้เฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากวัสดุแนวโบราณ หรือมาจากยุคเก่า เช่น ไม้ ทองเหลือง ผ้า ฯลฯ ซึ่งล้วนตรงกับของตกแต่งที่ขนกลับมาจากเจนีวาพอดี เราจึงนำของเหล่านี้มาตกแต่งเป็นสไตล์คลาสสิกได้ง่าย

มู้ดแอนด์โทนก็จะเน้นโทนสีที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น หรือสีเอิร์ทโทนอิงธรรมชาติ เช่น สีน้ำตาล สีครีม สีเทา และสีของไม้เป็นหลัก พูดง่ายๆ ว่าเป็นสีของเครื่องเรือนที่นิยมในอดีต ซึ่งจะไม่มีสีส้มแจ๊ดๆ อย่างสมัยนี้ปนอยู่เลย สีที่โดดเด่นอีกสีหนึ่งก็คือ สีน้ำเงิน ส่วนใหญ่มาจากเครื่องลายครามของจีน ที่นำมาเป็นของตกแต่ง เป็นการผสมผสานระหว่างอารมณ์ความเป็นยุโรปและเอเชียเข้าด้วยกัน โดยมีทั้งของเก่าและของใหม่ผสมกัน รวมทั้งภาพวาดจากฝีมือภรรยาของผมที่ออกแนวคลาสสิกด้วย

ผมมองว่าการตกแต่งสไตล์คลาสสิกมันสามารถอยู่ได้นานกว่า เพราะการตกแต่งสไตล์โมเดิร์นเกินไป มันจะดูเอาต์และน่าเบื่อง่าย ทั้งนี้ก็แล้วแต่ความชอบของแต่ละคนครับ”

นัต บอกว่า มุมโปรดที่เขาชอบที่สุดก็คือ ห้องหนังสือ แม้เจ้าตัวจะบอกว่าไม่ค่อยมีโอกาสได้ใช้มากนัก แต่ก็มีบางเวลาที่เขาไปนั่งพักผ่อนหรือนั่งอ่านหนังสือด้วยเช่นกัน

“สำหรับมุมโปรดอีกมุมที่ผมชอบและค่อนข้างใช้บ่อยก็คือ ห้องอาหาร ซึ่งภรรยาผมจะชอบจัดวางจาน ช้อน ส้อม และตกแต่งโต๊ะอาหารให้สวยงามดูคลาสสิกอยู่เสมอ ห้องอาหารจึงถือเป็นมุมโปรดของเราสองคนเลยก็ว่าได้ เรียกว่าคอนเซ็ปต์ในการตกแต่งคอนโด ภรรยาผมมีส่วน 90% ที่สำคัญเธอยังออกแบบตู้บิลต์อินในห้องรับแขก ตู้หนังสือ รวมทั้งแพนทรี่ในห้องครัวทั้งหมดเองด้วย จากนั้นก็ให้ช่างมาทำจริงอีกที พูดง่ายๆ ว่าแม้แต่มือจับของตู้และกลอนประตู เธอยังไปหามาเองทั้งหมดเลย ส่วนของตกแต่งอื่นๆ บางทีก็ซื้อจากร้านขายของเก่าตามสวนจตุจักรและอื่นๆ ด้วย มีทั้งของแพงและของถูก แต่เราจะเลือกชิ้นเด่นๆ ที่ตกแต่งออกมา แล้วดูลงตัว”

นัตทิ้งท้ายว่า นิยามคำว่าบ้านสำหรับพวกเขาสองคนก็คือ บ้าน คือ สถานที่ที่มีพื้นที่ส่วนตัว อยู่แล้วมีความสุข ที่สำคัญต้องอยู่แล้วสามารถชาร์จทั้งพลังกายและพลังใจให้กับตัวเองได้ ไม่ว่าจะอยู่ในอารมณ์ไหน บ้านต้องสามารถช่วยสร้างพลังในการทำสิ่งต่างๆ ในชีวิตให้กับเราได้เสมอ