posttoday

สุธาริณี ลี ในความโชคร้าย ก็ยังมีความโชคดี

21 มกราคม 2561

บางทีชีวิตก็มักจะเล่นตลกร้ายๆ กับเราแบบฟ้าฟาดมากลางใจชนิดไม่ทันได้ตั้งตัว เช่นเดียวกับเธอคนนี้ บอล-สุธาริณี ลี หญิงสาวสู้ชีวิตจาก จ.ชัยภูมิ

โดย อณุสรา ทองอุไร ภาพ : วิศิษฐ์ แถมเงิน

บางทีชีวิตก็มักจะเล่นตลกร้ายๆ กับเราแบบฟ้าฟาดมากลางใจชนิดไม่ทันได้ตั้งตัว เช่นเดียวกับเธอคนนี้ บอล-สุธาริณี ลี หญิงสาวสู้ชีวิตจาก จ.ชัยภูมิ

เธอเล่าย้อนอดีตให้ฟังว่า เพราะที่บ้านฐานะยากจนและเป็นลูกคนโต เธอจึงได้เรียนหนังสือแค่ชั้น ม.6 เดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อมาทำงานโรงงานแถว จ.สมุทรปราการ ทำงานไปเรียนไปส่งเสียตัวเองจนเรียนจบมหาวิทยาลัยรามคำแหง จนจบคณะมนุษยศาสตร์ เอกประวัติศาสตร์ เพราะชอบเรื่องประวัติศาสตร์ และเธอเป็นเด็กชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็ก มีหนังสือเป็นเพื่อนและมีความฝันในวัยเยาว์ว่าอยากจะเป็นนักเขียนมีงานเขียนออกมาให้ได้สักเล่มในชีวิต แต่ความฝันก็ยังไม่เป็นความจริง

เมื่อจบปริญญาตรี เธอก็ลาออกจากการเป็นสาวโรงงาน ไปเป็นครูที่โรงเรียนเอกชนเล็กๆ แห่งหนึ่งด้วยการเป็นครูสอนภาษาไทยให้กับเด็กนักเรียนชั้น ป.4ซึ่งเป็นเด็กห้องอ่อนที่สุด เด็กบางคนอ่านหนังสือแทบจะไม่ออก แม้เธอจะไม่ได้จบครูมาโดยตรง แต่ก็มีจิตวิญญาณของความเป็นครูอยู่ในตัว

สุธาริณี ลี ในความโชคร้าย ก็ยังมีความโชคดี

เธอจึงเขียนการ์ตูนเรื่องยาวเป็นตอนๆ ชื่อเรื่อง “การผจญภัยของลอรี่” ให้เด็กๆ อ่านเพื่อดึงความสนใจให้เด็กมีโอกาสที่จะรักการอ่านมากยิ่งขึ้น และสิ่งที่เธอทำก็ประสบความสำเร็จเพราะเด็กๆ รออ่านตอนต่อไปของเธอทุกครั้งในชั่วโมงเรียน ผลทางอ้อมที่ได้รับคือเด็กๆ สนใจการอ่านมากขึ้น มีพัฒนาการในการอ่านดีขึ้น แต่เธอก็เขียนเรื่องของลอรี่ไม่จบ

เธอเขียนได้เพียงปีกว่า เนื่องจากเธอพบรักกับหนุ่มเกาหลีที่มาทำงานในประเทศไทยและเขากำลังจะย้ายกลับไปทำงานที่ประเทศบ้านเกิด เขาจึงเร่งรัดให้เธอแต่งงานและไปอยู่เกาหลีกับสามี เธอจึงตอบตกลง ทุกอย่างในชีวิตของเธอกำลังสวยงามไปได้ดี มีงานทำที่เกาหลี และเรียนภาษาเกาหลีจนคอร์สสูงสุด 7 เลเวลพอเธอแต่งงานได้ปีกว่า เธอก็มีลูกสาววัยน่ารัก 1 คน

เธอ เล่าว่า พอคลอดลูกเสร็จสามีก็ไม่อยากให้ทำงาน แต่เธออยากทำงานไปด้วยเพราะอยู่บ้านก็เหงา จนลูกได้ 2 ขวบกว่า เธอก็กลับไปทำงานเป็นล่ามให้กับบริษัทแห่งหนึ่ง ทุกอย่างสดใสดูดี จนลูกได้ 4 ขวบกว่า เธอเริ่มไม่สบายไม่มีแรงและเพลียสะสมเรื้อรังมาเกือบเดือน
เหนื่อยงาน ตาโปน ผิวพรรณแห้งกระด้าง ผมร่วง จนกระทั่งวันหนึ่งเธอไม่สบายถึงขนาดลุกไม่ขึ้น ไม่มีแรง เพลียกินอะไรไม่ได้ จนสามีต้องพาไปหาหมอเพื่อให้ตรวจอย่างละเอียด ผลตรวจออกมาว่าเธอเป็นไทรอยด์ แต่หมอมีข้อกังวลบางอย่างจึงขอเจาะเอาเนื้อไปตรวจให้ละเอียด 

สุธาริณี ลี ในความโชคร้าย ก็ยังมีความโชคดี

หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปหมอเรียกไปฟังผลเมื่อเธอเห็นสีหน้าของหมอแล้วเธอก็ใจไม่ดีเลย และผลตรวจก็ออกมาดังคาด เพราะเธอเป็นมะเร็งไทรอยด์ ซึ่งโอกาสคนจะเป็นน้อยมากแต่เธอก็เป็น

เธอเล่าถึงนาทีเปลี่ยนแปลงชีวิตของเธอว่า “พอหมอบอกว่าเป็นมะเร็ง เหมือนโลกมันดับวูบลงมาทันที หนูมีคำถามว่าทำไมๆ เข้ามาในหัวเต็มไปหมด ตอนนั้นเราเพิ่งอายุ 30 ปี ลูกยังไม่ถึง 5 ขวบ เราต้องเลี้ยงดูแม่และยายที่ จ.ชัยภูมิ ด้วย และกำลังจะปลูกบ้านให้แม่ ถ้าเธอตายคนข้างหลังจะลำบาก สายตาที่มองกลับไปที่หมอด้วยความวุ่นวายสับสน ไม่ได้ร้องไห้แต่มันช็อกแล้วชะงักไปเลย

จนกระทั่งหมอน่ารักมากเขามีเมตตาธรรม จับมือเราแล้วบอกให้ตั้งสติดีๆ ค่อยๆ แก้ปัญหานะ มีอะไรที่อยากทำที่สุดตอนนี้ให้ทำ เพราะคุณจะมีความสุขที่ได้ทำมันอย่ารออะไรอีก หมอถามอยากทำอะไร มีความฝันอะไรบ้าง เราบอกอยากเขียนหนังสือ เคยลองเขียนแล้วไม่เคยจบเรื่องเลย หมอบอกงั้นก็เขียนเลยนะ เอามาให้หมออ่านด้วยหมอจะรออ่าน เราก็น้ำตาร่วงเลย” เธอเล่าย้อนอดีตให้ฟัง

พอออกจากโรงพยาบาลวันนั้น เธอก็ตรงดิ่งไปที่สุสานหลวงของเมือง ไปเดินดูประวัติศาสตร์ต่างๆ ที่เขาเขียนไว้ที่สุสาน หาแรงบันดาลใจ และเพื่อเป็นการพิจารณามรณานุสติและระลึกถึงความตายไปด้วยในตัวว่า ชีวิตมันไม่มีอะไรแน่นอน ไม่ใช่ว่าคนแก่เท่านั้นที่จะตายไปตามวัย แต่คนหนุ่มสาวก็ตายได้ อย่าประมาท อย่าชะล่าใจ มีความฝันความหวังอะไร อยากบอกรักใครทำเลยอย่ารอ เพราะพรุ่งนี้อาจจะมาไม่ถึงก็ได้

สุธาริณี ลี ในความโชคร้าย ก็ยังมีความโชคดี

หลังจากนั้นเธอก็เข้าสู่ขบวนการรักษา พร้อมๆ กับเริ่มทำความฝันให้เป็นจริง ด้วยการลงมือเขียนหนังสืออย่างจริงจัง และเธอก็เริ่มเขียนนิยายเกาหลีเป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์แฝงความโรแมนติกเอาไว้ด้วย โชคดีว่าภาษาเกาหลีของเธอดีขึ้นมาก เธอไปค้นข้อมูลตามห้องสมุด สอบถามจากคุณพ่อของสามี

ระหว่างที่รักษาตัวอยู่ 2 ปีกว่าๆ ก็เป็นเวลาเดียวกับที่เธอเริ่มเขียนหนังสือ จนกระทั่งเธอได้นิยายเล่มยาว 2 เล่มจบมา 1 เรื่อง ชื่อ “หอมกลิ่นมินดัลแร” โดยพระเอกเป็นหมอเพราะได้แรงบันดาลใจมาจากหมอที่รักษาเธอ

“ระหว่างรักษาก็ขอคุณหมอเป็นที่ปรึกษางานเขียนไปด้วย มีอะไรก็ไปปรึกษาคุณหมอตลอด ซึ่งคุณหมอก็ใจดีคอยให้ข้อมูล บางทีก็ไปถามข้อมูลจากพ่อสามีด้วย เพื่อให้แน่ใจเรื่องความถูกต้องมากยิ่งขึ้น ส่วนคุณหมอก็สนับสนุนมาก ท่านมองว่ามันเป็นการเยียวยา การเขียนช่วยบำบัดจิตใจ เหมือนการเล่นดนตรีหรือการวาดรูป จะช่วยให้จิตใจมีความสุขเพราะได้ทำในสิ่งที่รัก การเขียนทำให้เกิดจินตนาการ มีสมาธิ และไม่จมเศร้ากับความเจ็บป่วยที่เราเป็น ทำให้การรักษามีพัฒนาการที่ดีขึ้นเรื่อยๆ คุณหมอจึงสนับสนุนมาก ช่วยอ่านช่วยแนะนำตลอดที่ได้ไปรักษากับคุณหมอจนถึงทุกวันนี้” เธอเล่าอย่างมีกำลังใจ

หลังจากรักษาตัวมาเกือบ 3 ปี มะเร็งของเธอก็หายแล้ว แต่โรคไทรอยด์ยังต้องรักษาอยู่อย่างต่อเนื่อง ต้องกินยาไทรอยด์ตลอดชีวิต รวมทั้งงานเขียนของเธอก็ยังทำต่อไป โดย 3 ปีที่รักษามะเร็งไทรอยด์ของเธอนั้น ทำให้มีผลงานเรื่องยาวออกมาอีกเรื่องที่ 2 คือเรื่อง “ทงกุง” โดยเธอพิมพ์เองขายเอง พิมพ์ครั้งละ 100 เล่ม เรื่องแรก (หอมกลิ่นมินดัลแร) พิมพ์เป็นครั้งที่ 3 แล้ว  โดยเธอลงทุนไปทั้งหมด 5 หมื่นบาท และขายหมดจนได้ทุนคืนและมีกำไรนิดหน่อย

“เราทำเพราะรักการเขียน อยากมีหนังสือนิยายเรื่องยาวของตัวเองก่อนตาย(หัวเราะ) อยากจับ สัมผัสหนังสือที่มีชื่อเราเป็นผู้เขียน เราไม่ใช่คนดังก็ต้องพิมพ์เอง ซึ่งหลายคนก็ชมว่าเขียนใช้ได้ อ่านสนุกพอตัว เราไม่ได้หวังกำไรอะไร แค่เสมอตัวก็ถือว่าดีมากแล้ว นี่ยังพอมีกำไรก็ถือว่าดีกว่าที่คิดไว้เยอะ ฝันเราเป็นจริงแล้ว ทำให้มีกำลังใจเขียนเรื่องต่อๆ ไปอีก เวลาเขียนหนังสือเหมือนอยู่อีกโลกหนึ่งเลย ลืมความเจ็บป่วยที่เราเป็นไปเลย หนูยังมีความฝันไว้อีกว่าจะเอานิยายเรื่องหอมกลิ่นมินดัลแร มาแปลเป็นภาษาเกาหลีและจะตีพิมพ์เป็นเล่มในอนาคต แล้วจะเอาไปมอบให้คุณหมอกับคุณพ่อสามีได้อ่าน ทุกวันนี้ท่านอ่านไม่ออกหนูก็ไปเล่าให้ฟังว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร” เธอกล่าวด้วยรอยยิ้ม

สุธาริณี ลี ในความโชคร้าย ก็ยังมีความโชคดี

นอกจากนี้ เธอก็ยังมีเรื่องที่ 2 เป็นนิยายชุด เธอเขียนนิยายซีรี่ส์ 4 เรื่องจบ ชื่อเรื่อง หวานละไมชัยภูมิ เป็นเรื่องวัยเด็กที่จ.ชัยภูมิของเธอ ใส่ความสนุกสีสันของสังคมยุคใหม่ผสมเข้าไป เป็นเรื่องขำๆ ความผูกพันแบบคนชนบท เขียนเป็นเรื่องๆ ขายผ่านอีบุ๊คส์แค่เรื่องละ 79 บาท
แล้วเธอก็นำเรื่องการผจญภัยของลอรี่ที่เขียนค้างไว้ตอนเป็นครูเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วมาเขียนต่อให้จบทั้งหมดมี 3 ภาค ภาคละ 20 ตอน

เธอ เล่าว่า ตอนนี้เธอเขียนได้คล่องขึ้นทำเวลาได้ดีขึ้น เรื่องแรกใช้เวลา 2 ปี เรื่องที่ 2 ใช้เวลา 1 ปี เรื่องที่ 3 ใช้เวลาเพียง 6 เดือน และกลางปีนี้เธอจะมีนิยายเรื่องที่ 4 ออกมาชื่อ ตะวันลาอุษาคเนย์ เป็นแนวประวัติศาสตร์สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2เพราะเธอชอบประวัติศาสตร์ เธอเข้าห้องสมุดไปหาข้อมูลอย่างจริงจัง ถือเป็นงานอดิเรกที่สร้างความสุขให้กับเธอเป็นอย่างมาก แถมยังพอมีค่าขนมเก็บไว้ให้ลูกอีกด้วย

“การเขียนหนังสือเป็นยารักษาหัวใจของหนูได้เป็นอย่างดี เป็นยาขนานเอกที่ช่วยรักษาโรคมะเร็งให้หายได้เร็วกว่าที่คิด ถ้าไม่ป่วยเป็นมะเร็งหนูก็คงไม่ได้ลุกขึ้นมาเขียนนิยาย คงผัดวันประกันพรุ่งให้เป็นความฝันต่อไป ในความโชคร้ายก็มีความโชคดีเข้ามาบ้างเหมือนกัน” เธอกล่าวอย่างมีความสุข

ส่วนปีหน้าเธอวางแผนจะเขียนนิยายเรื่องยาวคิดพล็อตและชื่อเรื่องไว้แล้วว่า “ภูษาแห่งราชา”  เป็นเรื่องเกี่ยวกับฉลองพระองค์ของพระราชาและพระราชวงศ์โซชอลก่อนตกเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น ที่ต้องเปลี่ยนจากชุดฮันบกมาใส่สูทสากล ที่จะบอกเล่าความรู้สึกของพระราชาตอนนั้นว่าจะคิดอย่างไร

เธอ บอกว่า เธอตั้งใจจะเขียนนิยายให้ได้อย่างน้อยปีละ 1-2 เรื่อง โดยเธอจะต้องเขียนทุกวัน วันละ 3-4 หน้า/วัน ฝึกให้มีวินัย แล้วมีงานเขียนปีละ 2 เล่ม เวลาเขียนก็จะอ่านทบทวนหลายๆ รอบ ดูศัพท์ให้ทันสมัยเหมาะกับคนไทย เพราะเธอไปอยู่เกาหลี 10 ปี ภาษาหรือคำพูดต่างๆ อาจจะไม่อัพเดทกับคนรุ่นใหม่สมัยนี้