posttoday

จิราวัฒน์ ตั้งกิจชัยวัฒน์ ‘เปิดใจรับฟังและเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา’

04 มกราคม 2561

ดูเหมือนชีสเค้กจะไม่ค่อยเข้ากับชายหนุ่มเสียเท่าไหร่ แต่ไม่ใช่กับ จิราวัฒน์ ตั้งกิจชัยวัฒน์

 

ดูเหมือนชีสเค้กจะไม่ค่อยเข้ากับชายหนุ่มเสียเท่าไหร่ แต่ไม่ใช่กับ จิราวัฒน์ ตั้งกิจชัยวัฒน์ บิซิเนส ดีเวลอปเมนต์ แมเนเจอร์ แห่งบริษัท เอสเอสแอล คอร์ปอเรชั่น

งานที่เขาดูแลคือ Bank of Bakery นำเข้าเบเกอรี่แบรนด์ดังจากทั่วทุกมุมโลกมาจำหน่ายในประเทศไทย สำหรับโปรเจกต์ล่าสุดที่จิราวัฒน์ดูแลเต็มตัวคือ การนำเข้า เดอะชีสเค้ก แฟกตอรี่ เบเกอรี่ สุดยอดชีสเค้กอันดับ 1 ในอเมริกามาให้คนไทยได้ลิ้มลอง ซึ่งเหมาะมากๆ กับการเปิดตัวตลาดในเมืองไทยในช่วงเทศกาลแห่งความสุขนี้

จิราวัฒน์ ศึกษาจบปริญญาตรีจากคณะรัฐศาสตร์ เอกการเมืองและการระหว่างประเทศ ภาคภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่ก่อนหน้าที่จะมาอยู่ในวงการเบเกอรี่ ค่าที่หน้าตาดีและเคยเป็นทั้งทูตมหาวิทยาลัยทำกิจกรรมต่างๆ มากมายสมัยเรียน

เมื่อเรียนจบเขาไปชิมลางในวงการบันเทิง เล่นละครซิตคอมเรื่อง "วุ่นรัก พลพรรคตั้งตัว" ทางทีวีดิจิทัลช่องหนึ่ง บทบาทที่เขาได้รับคือชายหนุ่มอารมณ์ดี นอกจากนี้เขายังมีงานถ่ายแบบ เดินแบบ ถ่ายโฆษณาด้วย ซึ่งเขาทำตั้งแต่ก่อนเรียนจบเสียอีก

พออายุย่างเข้า 25 ปี เขาจึงมองหาอาชีพที่มีความมั่นคง เพราะอาชีพนักแสดงประสบความสำเร็จยาก มีการแข่งขันสูง เขาจึงมองหางานประจำที่มั่นคงทำ แล้วก็ได้มาทำงานที่บริษัทแห่งนี้ ในตำแหน่งแรกคือแมเนจเมนต์ เทรนนี ต่อมาคือ บิซิเนส ดีเวลอปเมนต์ แมเนเจอร์ เป็นต้น

“แม้สิ่งที่ผมทำงานไม่ตรงกับสิ่งที่เรียนมา เพราะตอนเรียนผมเรียนเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ บริษัทของเราเป็นบริษัทขนาดกลางและเป็นบริษัทของคนใหม่ และผมมีคติในการใช้ชีวิตของผม คือชอบพูดคุยขอคำแนะนำจากผู้ใหญ่

เราฟังจากประสบการณ์นักการตลาดเก่งๆ ว่าเขาทำการตลาดได้เก่งเพราะอะไร? ซึ่งเราหาความรู้นี้ในห้องเรียนไม่ได้ ผมจึงชอบรับฟังคำแนะนำของนักการตลาดที่ประสบความสำเร็จ ประสบการณ์ชีวิตของคนเก่งรวมถึงวิธีแก้ไขของเขา เพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับตัวเอง”

การตลาดด้านเบเกอรี่ใกล้หรือไกลตัวเขามากน้อยแค่ไหน จิราวัฒน์ บอกว่าส่วนตัวเขาชอบกินขนมมาตั้งแต่เด็กๆ ชอบเข้าร้านขนม เพื่ออัพเดทว่ามีขนมอะไรใหม่ๆ บ้าง

“บริษัทของเรานำเข้าจัดจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มเข้าสู่ห้างสรรพสินค้า มีหลายโปรดักต์ เช่น นมถั่วเหลืองผสมช็อกโกแลตแบรนด์เฮอร์ชี่ แต่ในส่วนของผมดูชีสเค้ก ครั้งแรกที่ผมได้ยินคำว่าชีสเค้ก รู้สึกตื่นเต้นมาก ผมเป็นประเภทหากมีอะไรอร่อยต้องลอง พอได้ยินคำว่า ชีสเค้กแฟกตอรี่ ซึ่งแฟนพันธุ์แท้ชีสเค้กได้ยินแล้วจะรู้ว่าอร่อยจริงๆ

คนไทยที่เคยไปอเมริกาและชื่นชอบเค้กต้องลองแวะไปกินชีสเค้ก ที่ชีสเค้กแฟกตอรี่ แล้วยิ่งช่วงเวลาเฉลิมฉลองแบบนี้คำว่า ชีสเค้กกับไอศกรีม หมายถึงความสุขแห่งการเฉลิมฉลอง เราตั้งใจนำเข้ามาจำหน่ายให้ทันเดือน ธ.ค. เพื่อให้เข้ากับเทศกาลพอดี ซึ่งได้รับผลตอบรับดีมาก ตอนนี้เราลองชิมลางตลาดที่กูร์เมต์ มาร์เก็ต ของพารากอนก่อน แล้วค่อยขยายจุดจำหน่ายไปเรื่อยๆ”

สำหรับคนทำงานวางแผนด้านการตลาด นอกจากรสชาติชีสเค้กที่อร่อยแล้ว การตั้งราคาก็เป็นอีกเหตุจูงใจให้คนได้ลองกิน

 

จิราวัฒน์ ตั้งกิจชัยวัฒน์ ‘เปิดใจรับฟังและเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา’

 

“จุดเด่นของ The Cheesecake Factory Bakery ในไทย คือ เราอิมพอร์ตเข้ามาจากอเมริกาทั้งก้อน พร้อมตั้งราคาขายถูกกว่าเพื่อนบ้านอีก 30% เพื่อให้ทุกคนได้เฉลิมฉลองกัน ซึ่งการนำสินค้าอะไรใหม่ๆ มาทำการตลาดในไทยก็มีความท้าทาย

หนึ่งคือเรื่องการขนส่ง เพราะราคาต้องบวกค่าขนส่ง ไหนจะการเก็บที่เราใช้มาตรฐานเดียวกับที่โรงงานชีสเค้กแฟกตอรี่ที่อเมริกา กินที่อเมริการสชาติอย่างไรกินที่เมืองไทยก็รสชาติอย่างนั้นเลย จริงๆ เดอะชีสเค้ก แฟกตอรี่ ที่อเมริกามีการขายอาหารด้วย แต่เรานำชีสเค้กเข้ามาแค่อย่างเดียวก่อน

ตอนนี้เรามีจำหน่ายเป็นกล่องเลือกรสชาติได้ เพื่อทดลองตลาด เพื่อดูเทรนด์ผู้บริโภคในไทยก่อน รสชาติที่เรานำมา 13 รสชาติ ที่ได้รับความนิยมตลอดกาล เช่น Original, Tuxedo Mousse, Crazy Red Velvet, White Chocolate Raspberry Truffle, Wild Strawberries and Cream และที่สำคัญคือเราทำวิจัยแล้วว่า การทำราคาก็ต้องดึงดูดใจด้วย ซึ่งเราสามารถตั้งราคาแบบโดนใจ ถูกกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างเช่น ฮ่องกง และดูไบ”

ในฐานะอยู่ในวงการเบเกอรี่ จิราวัฒน์ มองตลาดชีสเค้กในประเทศไทยว่ากำลังเติบโตและเป็นที่นิยม โดยเฉพาะในหมู่ผู้หญิงออฟฟิศและราคาที่ถูกใจก็คือ 159-219 บาท ผู้หญิงจะยอมจ่ายเพราะได้ชิ้นใหญ่ เรียกว่ากินชิ้นเดียวแล้วอิ่ม แชร์กับเพื่อนๆ ก็ได้

จิราวัฒน์ มองว่า การกินชีสเค้กไม่ใช่เป็นเพียงแค่แฟชั่น แต่เป็นไลฟ์สไตล์ของการใช้ชีวิต ในฐานะนักการตลาดที่ต้องเจออะไรที่ท้าทายตลอดเวลา ยิ่งด้วยตลาดในเมืองไทย คนไทยนิยมอะไรที่เป็นกระแส แน่นอนต้องมาไวไปไว เขาจึงต้องอัพเดทข่าวสารตลอดเวลา เพราะความต้องการของผู้บริโภคย่อมเปลี่ยนไวไปด้วย ดังนั้น ในฐานะนักการตลาดต้องตามให้ทัน 

“เทรนด์การกินของคนไทยจะเปลี่ยนทุก 3-4 เดือน เราต้องมองไปข้างหน้าเสมอว่าอะไรจะเป็นที่นิยมในเมืองไทย ต้องตามตลาดให้ทัน ปัจจุบันผมมีลูกน้องประมาณ 6 คน เราเน้นทำงานร่วมกันเป็นทีม ในระดับหัวหน้าเราจะช่วยกันออกไอเดีย ซึ่งผมมีหลักปกครองลูกน้องที่ผมใช้คำว่า เอาใจเขามาใส่ใจเรา แล้วผมจะดูวิธีดีลกับลูกน้องแต่ละคนแตกต่างกันไป คนไหนใช้วิธีนี้ในการคุย จะได้ผลตอบรับออกมาดีกว่า

ลูกน้องเราเป็นคนรุ่นใหม่ ซึ่งคนมักมองเด็กรุ่นใหม่ว่าไม่ค่อยอดทน แต่ผมมองว่า ด้วยเป็นเด็กรุ่นใหม่ เขามีโอกาสเข้าถึงข่าวสารที่เร็วกว่าสมัยก่อน พอเขาได้รับข่าวสารเร็วเขาก็เลือกโอกาสที่ดี แต่ก็ทำให้พวกเขามีไอเดีย มีความคิดแปลกใหม่ เขาสนใจหลายอย่าง ซึ่งอารมณ์แบบนี้ของเด็กรุ่นใหม่ไม่ได้เป็นเหมือนกันทุกคน แต่เราต้องมีศิลปะในการต่อรองคนรุ่นใหม่ที่มากกว่า พูดให้เขาเข้าใจได้ ต้องการให้เขาทำอะไร ถ้าเขาเข้าใจ เราสามารถปกครองลูกน้องได้ไม่ยาก”

กฎอีกข้อที่จิราวัฒน์ใช้ปกครองลูกน้อง คือให้ความรักและให้ความยุติธรรมกับลูกน้องแต่ละคนเสมอภาคกัน และคำคมที่เขาใช้ในการดำเนินชีวิตทุกอย่างคือ อย่าทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว ควรทำตัวให้เป็นแก้วเปล่าตลอดเวลา เพื่อที่จะได้รับความรู้และข้อมูลใหม่ๆ ใส่ตัวและสมองอยู่อย่างสม่ำเสมอ อีกทั้งเขายังเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน มีความมั่นใจได้แต่ให้เหมาะสมด้วย

“ด้วยผมจบรัฐศาสตร์มา ทำให้ผมได้เห็นมุมมองของคน ซึ่งมีความแตกต่างและหลากหลาย ทำให้ผมเข้าใจคนมากขึ้น เช่น แต่ละคนก็มีมุมมองการเมือง มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันมาก แต่สุดท้ายแล้วความเป็นเพื่อนคุยรับฟังเหตุผลซึ่งกันและกัน

หากต่างฝ่ายต่างต้องยอมรับฟังกัน เพราะแต่ละคนย่อมมีเหตุผลเป็นของตัวเอง เพื่อนก็เติบโตมาคนละแบบกับเรา พอผมมาทำงานกับลูกน้อง ทำให้ผมรับฟังมากขึ้น เหมือนกันแค่อย่ามีอีโก้สูงแค่นั้นเอง” 

แม้ทำงานในวงการเบเกอรี่ แต่ไม่ต้องกังวลว่าความอ้วนจะเข้ามากล้ำกรายจิราวัฒน์ เพราะเขาเป็นคนแอ็กทีฟอยู่ตลอดเวลา ดูอย่างสมัยเรียนมัธยมที่โรงเรียนสาธิตประสานมิตร เขาได้เป็นนักกีฬาทั้งบาสเกตบอลของมหาวิทยาลัยและเป็นเชียร์ลีดเดอร์ของโรงเรียนด้วย

“ผมชอบทำกิจกรรมตั้งแต่สมัยเรียน ทำให้ผมรู้จักการปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนๆ ได้ดี แถมยังได้คอนเนกชั่นกับเพื่อนๆ ที่ทำกิจกรรมร่วมกันอีกด้วย ทุกวันหลังเลิกงาน ด้วยออฟฟิศผมอยู่สาทรผมก็ชอบไปออกกำลังกายเล่นเวตสัก 2 ชั่วโมงแล้วค่อยกลับบ้าน ที่โชคดีกว่านั้นคือแถวบ้านผมมีฟิตเนสเปิดบริการ 24 ชั่วโมง ทำให้จะดึกหรือเช้าแค่ไหนผมก็ไปออกกำลังกายได้”

เรียกว่าการออกกำลังกาย กลายเป็นนิสัยของจิราวัฒน์ไปแล้ว วันไหนหากไม่ได้ออกกำลังกายก็ต้องวิ่งอยู่ในหมู่บ้าน หรือวิดพื้นเป็นอย่างน้อย เพราะเขามองว่าการออกกำลังกายช่วยบำบัดเรื่องความเครียดได้ดี

“ทำงานมีช่วงเครียดบ้าง แต่แค่ออกกำลังกายก็ช่วยให้ผมรู้สึกผ่อนคลายได้มาก แต่เรื่องการกินผมถือคติอยากกินก็กินและที่สำคัญคือผมชอบกินบุฟเฟ่ต์กับเพื่อนๆ มากๆ แต่ไม่นิยมกินจังก์ฟู้ด ในชีวิตประจำวันผมไม่กินน้ำหวาน หรือน้ำอัดลมเลย ประกอบกับออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอทำให้ผมไม่เคยอ้วนเลย”

สุดท้าย จิราวัฒน์ตอบเรื่องหัวใจว่า เขาชอบผู้หญิงสวยหุ่นดีและชอบออกกำลังกายเหมือนเขา และเขาไม่ชอบผู้หญิงจู้จี้จุกจิก

“ผมไม่ชอบผู้หญิงที่ติดความหรูหราหรือต้องใช้แต่ของแบรนด์เนม หรือมีข้อแม้ในชีวิตเยอะ เช่น ไม่นั่งมอเตอร์ไซค์นะ อันนี้ไม่ชอบ ทำกับข้าวเป็นก็ดีแต่ผมไม่ซีเรียส ที่สำคัญคือผมไม่ชอบผู้หญิงชอบเอาเปรียบหรือดูถูกคนอื่น ผมชอบผู้หญิงที่มีสัมมาคารวะกับผู้ใหญ่ ควรพูดให้ไพเราะ ไม่พูดจาทำร้ายคนอื่น ถ้ามีอารมณ์ขันบ้างก็ดีครับ”