posttoday

ภัทรพงศ์ ธัญนิพัทธ์ เปลี่ยนวิถีจากเมืองสู่ชีวิตสโลว์ไลฟ์

24 ธันวาคม 2560

จากหนุ่มวิศวกรรุ่นใหม่ไฟแรงที่กำลังโลดแล่นในหน้าที่การงาน วันหนึ่งก็มีจุดเปลี่ยนที่ทำให้ ป๊อก-ภัทรพงศ์ ธัญนิพัทธ์

โดย  ภาดนุ

จากหนุ่มวิศวกรรุ่นใหม่ไฟแรงที่กำลังโลดแล่นในหน้าที่การงาน วันหนึ่งก็มีจุดเปลี่ยนที่ทำให้ ป๊อก-ภัทรพงศ์ ธัญนิพัทธ์ (วัย 33 ปี) หันเหชีวิตตัวเองจากวิถีคนเมืองไปสู่วิถีสโลว์ไลฟ์ที่มีชีวิตอยู่กับธรรมชาติ มีจังหวะชีวิตที่ช้าๆ เรียบง่ายแทน ซึ่งเจ้าตัวบอกว่าทำให้ค้นพบความสุขอีกรูปแบบหนึ่ง ส่วนเรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไปฟังจากเจ้าตัวกันเลย

“หลังจากเรียนจบปริญญาตรีด้านวิศวกรรมการบินและอวกาศ และจบปริญญาตรีด้านบริหารธุรกิจ (ได้ปริญญาตรี 2 ใบ) จากต่างประเทศ ผมก็กลับมาทำงานเป็นวิศวกรการบินและอวกาศในบริษัทเอกชน ซึ่งเป็นบริษัทที่ผลิตชิ้นส่วนเครื่องบินโบอิ้งและเครื่องบินแอร์บัส จากนั้นก็มาเป็นวิศวกรในบริษัทผลิตรถยนต์ โดยทำงานประจำอยู่แค่ 4-5 ปีเท่านั้นเองครับ

ภัทรพงศ์ ธัญนิพัทธ์ เปลี่ยนวิถีจากเมืองสู่ชีวิตสโลว์ไลฟ์

แรกๆ ชีวิตผมก็เหมือนกับคนที่เรียนจบใหม่ๆ ไฟแรงทั่วไป ที่รู้สึกอยากประสบความสำเร็จในชีวิตเร็วๆ อยากหาเงินให้ได้เยอะๆ มีชีวิตที่มั่นคง ตอนนั้นก็เลยโหมทำงานเต็มที่ ทั้งทำงานประจำทั้งร่วมหุ้นกับเพื่อนเปิดร้านอาหารในกรุงเทพฯ ไปด้วย พูดง่ายๆ ว่าใช้ชีวิตแบบ Work Hard Play Hard มากในช่วงนั้น จนวันหนึ่งคุณลุงผมซึ่งเปิดร้านขายวัสดุก่อสร้างที่ จ.อุบลราชธานี ท่านต้องการขยายสาขาร้าน ท่านจึงเรียกให้ผมไปช่วยงานอยู่พักใหญ่ ตอนนั้นผมอายุ 28 ปีได้ เรียกว่าตอนนั้นใช้ชีวิตเต็มที่ กินเที่ยวเต็มที่เลยละ

แต่จุดเปลี่ยนอยู่ตรงที่ผมเริ่มมีปัญหาในเรื่องสุขภาพสะสมตั้งแต่ตอนทำงานในกรุงเทพฯ คือเป็นภูมิแพ้และไม่สบายบ่อยๆ แถมพอไปตรวจร่างกายแล้วคุณหมอยังบอกว่า ผมมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งหรือมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตได้ง่าย หากไม่ปรับเปลี่ยนวิธีการกิน (กินแต่อาหารสำเร็จ รูป) หรือไม่ปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ในการทำงานหนักๆ เครียดๆ แบบนี้ ตอนนั้นก็ตกใจนะ เพราะเราก็เป็นนักกีฬาฟุตบอลตอนที่เรียนมหาวิทยาลัย ร่างกายก็แข็งแรงดี แต่เมื่อรู้แบบนี้แล้วก็ทำให้ผมเริ่มมีความคิดที่จะปรับเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตของตัวเองอย่างจริงจัง”

ภัทรพงศ์ ธัญนิพัทธ์ เปลี่ยนวิถีจากเมืองสู่ชีวิตสโลว์ไลฟ์

ป๊อก บอกว่า ตอนนั้นเขาก็ครุ่นคิดว่าอะไรจะตอบโจทย์ในชีวิตเขาได้บ้าง บังเอิญได้ไปเห็นข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตสโลว์ไลฟ์ การดำเนินรอยตามวิถีพอเพียง และเรื่องราวของ โจน จันได ในอินเทอร์เน็ต เขาจึงเริ่มสนใจและหาข้อมูลเพิ่มเติม

“ยอมรับว่าตอนที่คุณหมอแนะนำให้เปลี่ยนวิถีชีวิต ผมก็เครียดนะ ช่วงนั้นพอได้เห็นเรื่องราวของคุณโจน จันได ก็รู้สึกชอบ ยิ่งได้มารู้จักอาจารย์ยักษ์ (ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร) และรู้ว่าทั้งสองท่านนี้เปิดคอร์สอบรมเกี่ยวกับกสิกรรมธรรมชาติ ซึ่งผมก็กำลังสนใจอยู่พอดี ก็เลยไปเข้าอบรม แล้วยังไปเรียนรู้คอร์สธรรมธุรกิจ เศรษฐกิจพอเพียง การพึ่งพาตัวเอง และอื่นๆ ด้วย

นอกจากไปลงคอร์สเข้าอบรมแล้ว ผมยังไปร่วมเป็นอาสาสมัครบางงานตอนที่พวกเขาออกค่ายกันด้วย ระหว่างนั้นผมก็ขอพักงานจากบริษัทคุณลุงเพื่อขอมาหาคำตอบให้กับชีวิตตัวเองก่อน กระทั่งได้เริ่มทำเกษตรพอเพียงที่ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเป็นบ้านของคุณพ่อคุณแม่ได้ประมาณปีกว่าๆ เนื่องจากคุณพ่อมีที่ดินที่สามารถทำเกษตรได้อยู่หลายไร่

ผมเริ่มต้นด้วยการขุดสระน้ำ ปลูกไม้ยืนต้น ไม้ดอก ไม้ผล และสมุนไพร คือปลูกไว้หลากหลายมาก บนเนื้อที่เกือบ 30 ไร่ ซึ่งรวมทั้งที่นาด้วย เมื่อได้ลงมือทำจริงๆ ถามว่างานยากและหนักมั้ย มันก็ยากและหนักแหละครับสำหรับคนที่ไม่เคยทำ แล้วมันเป็นงานคนละแบบกับงานออฟฟิศ แต่มันดีตรงที่ ถ้าเราเหนื่อย เราก็สามารถพักได้เลย ไม่ต้องหักโหม ก็ตื่นมาแต่เช้าเพื่อทำงาน พอแดดเริ่มแรงก็เข้าไปพักในบ้าน เมื่อแดดร่มลมตกเราก็อาจจะออกไปทำอีกที โดยผมมีคุณน้าในละแวกบ้านมาเป็นคนงานคอยช่วยอยู่ 1 คน เลยสามารถจัดการทุกอย่างได้ดี”

ภัทรพงศ์ ธัญนิพัทธ์ เปลี่ยนวิถีจากเมืองสู่ชีวิตสโลว์ไลฟ์

ป๊อก เล่าว่า หลังจากทำเกษตรผสมผสานได้ปีกว่า ก็เริ่มออกดอกออกผลให้กินได้ โดยมีทั้งข้าว พืชผักสวนครัว เช่น พริก กระเทียม มะเขือ มะเขือเทศ กะเพรา โหระพา ตะไคร้ ผักบุ้ง ฯลฯ ส่วนผลไม้นั้นอาจจะต้องรอเวลาอีกสักหน่อยถึงจะได้ผลผลิต

“ผลผลิตครั้งแรกที่ได้ มีไม่มากพอถึงกับขาย เราจึงแบ่งปันญาติพี่น้อง เพื่อนบ้านใกล้เคียงก่อน แต่สิ่งที่ขายได้ก็คือ สมุนไพร เช่น ใบบัวบก หญ้านาง ขิง ว่านน้ำ และสมุนไพรไทยอื่นๆ ซึ่งจะมีคนมารับซื้อ จากนั้นผมจึงต่อยอดแปรรูปสมุนไพร โดยทำผลิตภัณฑ์ สบู่ แชมพู ลิปบาล์ม ครีมหมักผม และผงมาสก์หน้าสมุนไพรขึ้นมา โดยนำความรู้จากการไปช่วยงานออกค่าย พร้อมทั้งไปลงคอร์ส หาความรู้เพิ่มเติม แล้วจึงมาคิดสูตรผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกแล้วทำขึ้นมา

จากนั้นก็ให้แฟนผมทดลองใช้ดูก่อน เพราะเธอเป็นคนที่ผิวแพ้ง่าย แต่พอได้ลองใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำขึ้นมาแล้ว แฟนผมกลับใช้ได้ ไม่เกิดอาการแพ้ผลิตภัณฑ์ตัวไหนเลย นี่จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นของผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกที่ชื่อ WP Organic Farm ของเรา ยกตัวอย่างเช่น แชมพู ที่มีส่วนผสมของใบมะกรูด ใบหญ้านาง และกาแฟ เป็นต้น โดยทำมาได้ 1 ปีแล้วครับ

สำหรับช่องทางในการขาย จะขายผ่าน Page Facebook : WP Organic Farm และไปออกบูธหรือตั้งร้านขายที่ตลาดนัดธรรมชาติซึ่งอาจารย์ยักษ์จัดขึ้นด้วย ก็ได้รับการตอบรับจากผู้ที่ใช้เป็นอย่างดีครับ เพราะผลิตภัณฑ์ของเราไม่ใช้สารเคมี ฉะนั้นคนที่แพ้ง่ายก็ไม่แพ้ หรือคนที่ผมร่วงมากๆ ก็กลับร่วงน้อยลง สามารถใช้ได้ทุกเพศทุกวัย ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นคนทั่วไปทั้งในกรุเทพฯ และต่างจังหวัด บางคนก็ตามมาซื้อในงานที่เราออกบูธ บางคนก็สั่งซื้อผ่านเพจเฟซบุ๊กก็มี ทุกวันนี้ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกของเรายังขายได้เรื่อยๆ และมีรายได้พออยู่ได้ครับ (หัวเราะ)

ภัทรพงศ์ ธัญนิพัทธ์ เปลี่ยนวิถีจากเมืองสู่ชีวิตสโลว์ไลฟ์

ในส่วนของกสิกรรมธรรมชาติหรือเกษตรผสมผสานที่ผมทำ ในอนาคตก็คิดไว้ว่าจะพัฒนาต่อยอดไปอีกเรื่อยๆ ตอนนี้ผมถือว่าตัวเองเป็นเกษตรกรหัดใหม่ ดังนั้นการทำเกษตรยังเป็นเรื่องยาวไกลที่ผมต้องเรียนรู้และพัฒนาควบคู่กันไป ส่วนผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก ปีหน้าเราอาจจะคิดทำ โลชั่นทาผิวขึ้นมาด้วย คอนเซ็ปต์ของผมก็คือ จะใช้วัตถุดิบธรรมชาติซึ่งมาจากแปลงที่เราปลูกเองเพื่อนำมาเป็นส่วนผสมทั้งหมดเลย จึงเป็นผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกที่ปลอดภัย ไร้สารเคมี แถมเรายังขอ อย.เรียบร้อยแล้วครับ”

ป๊อก ทิ้งท้ายว่า ความสุขที่ได้จากการผันมาใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ สิ่งแรกก็คือการมีสุขภาพที่ดีขึ้น ที่สำคัญอีกอย่างคือการได้อยู่กับพ่อแม่ ได้ดูแลใกล้ชิดกันทุกวัน ส่วนแฟนก็ไปๆ มาๆ ระหว่างกรุงเทพฯ กับต่างจังหวัดได้ไม่มีปัญหา

“สมัยที่ผมทำงานและใช้ชีวิตแบบเต็มที่ ผมขอเรียกการใช้ชีวิตในช่วงนั้นว่า ‘ความสนุก’ ละกัน แต่เมื่อได้ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตตัวเองมาสู่ชีวิตสโลว์ไลฟ์ ผมว่าการใช้ชีวิตในช่วงนี้มันคือ ‘ความสุข’ เพราะเราสามารถใช้ชีวิตได้แบบช้าๆ ไม่ต้องเร่งรีบมากนัก ไม่ต้องโหมทำงานดึกดื่นจนเสียสุขภาพ ที่สำคัญคือการมีเวลาให้กับตัวเองและครอบครัวมากขึ้น

พูดง่ายๆ ว่าเราเป็นเจ้านายตัวเอง ถ้าเหนื่อยและคิดจะพักเมื่อไหร่ก็พักได้เลย แม้ตอนนี้รายได้จะไม่เยอะจนทำให้เราร่ำรวย แต่ผมก็มีความสุขที่ได้ใช้ชีวิตแบบนี้ เพราะในแต่ละวันจะใช้เงินน้อยมากหรือแทบไม่ได้ใช้เลยละ สรุปแล้วผมคิดว่า ผมเลือกเส้นทางชีวิตถูกต้องแล้วครับกับวิถีสโลว์ไลฟ์ ผมว่ามันเป็นการใช้ชีวิตที่เดินตามทางสายกลางและทำให้เรารู้คุณค่าของความพอเพียงได้เป็นอย่างดี”