posttoday

ชมกมล พุ่มพันธุ์ม่วง ประสบการณ์มีค่ากว่าความรู้

04 ธันวาคม 2560

การลงไปทำงานในระดับปฏิบัติการ ทำงานให้รู้ว่าพนักงานทำงานกันอย่างไร ทำให้เราแก้ไขปัญหาพัฒนาการทำงานให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น


ความยากที่สุดอย่างหนึ่งสำหรับผู้บริหารรุ่นใหม่ที่เข้ามารับช่วงต่อธุรกิจครอบครัวก็คือการพิสูจน์ตัวเองว่ามีความสามารถพอที่จะนำพาธุรกิจให้อยู่รอดและก้าวหน้าต่อไปสู่อนาคต ชมกมล พุ่มพันธุ์ม่วง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ จึงต้องใช้ประสบการณ์และความทุ่มเทในการทำงาน เพื่อพิสูจน์ว่าตัวเธอนั้นก็สามารถบริหารงานได้เก่งไม่แพ้ใคร

 

อยากเป็นอาจารย์

“แรกเริ่มเลยเราไม่ได้คิดว่าจะต้องกลับมาสานต่อธุรกิจครอบครัว แม้ใจเราอยากจะทำงานเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่ประเทศอังกฤษ เพราะหลังจากเรียนจบปริญญาโทที่ประเทศอังกฤษ ก็ตั้งใจจะเรียนต่อระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดทันที เพื่อทำงานเป็นอาจารย์อย่างที่ฝัน แต่คุณพ่ออยากให้เรากลับมาดูแลธุรกิจของครอบครัวมากกว่า จึงต้องกลับมาทำงานที่เมืองไทย ซึ่งก่อนหน้านี้ตอนที่เรียนปริญญาโท ระหว่างปิดภาคเรียน คุณพ่อก็ให้เรากลับมาฝึกงานในบริษัทต่างๆ เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในการทำงานของแต่ละบริษัท ก่อนที่เราจะเข้ามาดูแลธุรกิจอย่างเต็มตัว” ชมกมล เปรยถึงช่วงเวลาก่อนที่จะเข้ามาบริหารบริษัท

หากส่องดีกรีด้านการศึกษาก็จะเห็นว่าผู้บริหารสาวผู้นี้ไม่ธรรมดา เธอมีดีกรีจบปริญญาตรีถึง 2 ใบด้านบริหารธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยเคนท์ (University of Kent) และมหาวิทยาลัยเอดินเบิร์ก (University of Edinburgh) และเรียนต่อปริญญาโทอีก 2 ใบ ด้านเศรษฐศาสตร์การตลาด ที่มหาวิทยาลัยเซอร์เรย์ (University of Surrey) และด้านการเมือง จากมหาวิทยาลัยรอยัล ฮอลโลเวย์ (Royal Holloway University of London) และเข้ามาทำงานในบริษัทใหญ่ในเมืองไทยอยู่หลายบริษัท เก็บเกี่ยวประสบการณ์ในการทำงานตั้งแต่พนักงานระดับล่างสุด จนถึงระดับผู้บริหารก่อนที่จะกุมบังเหียนนำแบรนด์เวิลด์แก๊สเข้าสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0

 

ถ่อมตัวและเพียรพยายาม

แรกเริ่มที่เธอเริ่มทำงานในบริษัทต่างๆ ตามคำแนะนำของคุณพ่อนั้น ชมกมลเองก็ยอมรับว่าไม่ค่อยเข้าใจถึงความคิดท่านเท่าไหร่นัก แต่พอเริ่มมีประสบการณ์ในการทำงานมากขึ้นเรื่อยๆ เธอถึงเข้าใจว่าทำไมคุณพ่อถึงอยากให้เราทำงานในบริษัทมากกว่าที่จะไปเป็นอาจารย์สอนหนังสือ

“ในโลกของการทำงานเราถึงรู้ว่าถึงจะเรียนเก่งแค่ไหน ก็เทียบไม่ได้กับประสบการณ์ในการทำงาน เพราะตอนที่เราเรียนจบมาใหม่ๆ มาทำงานในองค์กรใหญ่หลายๆ แห่ง ทำให้เราได้เจอคนที่มีความสามารถมากมายในองค์กรเหล่านั้น บางคนเป็นถึงดอกเตอร์ บางคนเรียนจบปริญญาโทใบเดียว แต่มีประสบการณ์ในการทำงานมากกว่า 10 ปี รู้วิธีแก้ปัญหามากมายที่ไม่ได้มีอยู่ในตำราเรียน

มีหลายคนที่มีความสามารถในการทำงานที่สูงกว่าเรา มีมุมมองทัศนคติในการทำงานและการตัดสินใจที่ดีกว่า ซึ่งตรงนี้ทำให้เราเห็นว่าประสบการณ์มีค่าอย่างมากในโลกของการทำงาน ทำให้เราเห็นว่ายังมีเรื่องอื่นๆ อีกมากที่เราต้องเรียนรู้ การทำงานทำให้รู้ว่าเราไม่สามารถเอาตัวเราเองไปวัดเทียบความสามารถกับคนอื่นได้ ปริญญาและเกรดผลการเรียนไม่สามารถบอกได้ว่าคนไหนเก่งกว่าใคร แต่ละคนมีความสามารถในการทำงานที่แตกต่างกัน” 


 

ชมกมล พุ่มพันธุ์ม่วง ประสบการณ์มีค่ากว่าความรู้

 

บริษัทคือบ้านหลังที่ 2

เมื่อเราถามว่าแล้วเราจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองท่ามกลางผู้อาวุโสที่มีประสบการณ์เหล่านี้ให้เชื่อมั่นในความสามารถของเราได้อย่างไร ชมกมล ตอบอย่างไม่ลังเลเลยว่า

“หลังจากเรากลับเข้ามาทำงานในบริษัทของครอบครัว สิ่งแรกซึ่งเป็นความท้าทายในการทำงานของเราก็คือ การทำงานกับคนรุ่นเก่าที่เขามีประสบการณ์ในการทำงานมาก่อน ซึ่งเราจะคิดเสมอว่าเมื่อทำงานจะต้องไม่มีเรื่องของตำแหน่งหรือเส้นสายว่าเราเป็นใคร เราก็ต้องยอมรับว่าเขามีประสบการณ์ทำงาน ณ จุดนั้นมาก่อน และเราก็จะต้องเรียนรู้สิ่งต่างๆ ในบริษัทจากเขา

แต่ในขณะเดียวกันวิธีที่ดีที่สุดที่จะพิสูจน์ตัวเองให้เห็นว่าเราดีพอสำหรับพวกเขา ก็คือความทุ่มเทที่เรามีให้กับธุรกิจ เราเข้าไปศึกษาเรียนรู้ในทุกระดับ ทุกกระบวนการทำงานตั้งแต่ระดับล่างจนถึงระดับบน และในทุกฝ่ายว่ามีขั้นตอนในการทำงานอย่างไร

แม้ต้องไปคุมถึงหน้างานก็ทำมาแล้ว อาจจะต้องใช้เวลาหลายปี แต่จะเป็นผลดีที่ทำให้เราได้รู้ทุกอย่างในบริษัทอย่างชัดเจน และยังทำให้เราได้เห็นปัญหาต่างๆ ที่เราสามารถปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น ในขณะเดียวกันด้วยความที่เราเป็นคนรุ่นใหม่ เราก็จะมีความคิดในการทำงานแบบใหม่ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะถูกต้องเสมอไป แม้การทํางานแบบคนรุ่นใหม่นั้นดูเหมือนจะดีกว่า แต่ว่าอย่าใหม่จนเกินเลยคำว่าความเหมาะสมหรือเกินเลยคำว่าความพอดีมากเกินไป เพราะบางครั้งประสบการณ์ของคนรุ่นเก่านั้นยังมีแนวคิดดีๆ อีกหลายอย่างที่ยังสามารถนำมาปรับใช้ได้ดีอยู่”

ผู้บริหารสาวเล่าต่ออีกว่า “อีกอย่างการที่เรานั้นลงไปทำงานในระดับปฏิบัติการ ได้ลงไปทำงานให้รู้ว่าพนักงานทำงานกันอย่างไร ทำให้เราแก้ไขปัญหาพัฒนาการทำงานให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น ส่วนใหญ่แล้วปัญหาในการบริหารงานก็คือนโยบายการทำงานไม่ได้สอดคล้องกับการทำงานจริงๆ ทำให้เรานึกย้อนกลับไปดูในสมัยที่เรายังเป็นพนักงานระดับล่างของบริษัท เราก็เคยมีความคิดเหมือนกับพวกเขาว่าคนสั่งก็สั่งอย่างเดียวไม่ได้ลงมาทำ ไม่ได้ลงมาเห็นว่าหน้างานมีปัญหาอะไรบ้าง

นั่นเป็นสิ่งที่เราเข้าใจถึงปัญหาของพนักงานในระดับล่างเป็นอย่างดี แต่ในขณะเดียวกันเราทำงานในระดับของสายงานบริหาร เราก็จะรู้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้ผู้บริหารไม่สามารถกำหนดวางแผนงานให้สอดคล้องแก้ไขปัญหานั้นได้ ตรงนี้เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา เข้าไปแก้ไขปรับเปลี่ยนนโยบายให้สอดคล้องเป็นไปในทางเดียวกัน ความสำเร็จของบริษัทจะเกิดขึ้นได้ เพราะเรามีพนักงานที่ดี มีทีมเวิร์กที่ดี พนักงานเป็นสิ่งสำคัญขององค์กร เราต้องทำให้พนักงานทุกคนเห็นว่าบริษัทที่เขาทำงานอยู่นั้นเป็นเหมือนบ้านหลังที่สองของพวกเขา และเชื่อมั่นในตัวเราให้ได้ว่าจะทำให้ธุรกิจเติบโตไปสู่อนาคตที่ดีได้”