posttoday

นวินดา สิทธิ์ธะติกานต์ บนเวทีมีประสบการณ์ล้ำค่า

12 พฤศจิกายน 2560

เมื่อเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ใครที่ชื่นชอบรายการแข่งขันร้องเพลงระดับอินเตอร์น่าจะเคยติดตามรายการ “Bolt of Talent”

โดย ภาดนุ

เมื่อเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ใครที่ชื่นชอบรายการแข่งขันร้องเพลงระดับอินเตอร์น่าจะเคยติดตามรายการ “Bolt of Talent” (ซีซั่นแรก) ที่ออกอากาศทางช่อง Star World (ปัจจุบันคือช่อง Fox Live) เป็นเวทีแข่งขันร้องเพลงที่เฟ้นหานักร้องหน้าใหม่ทั่วเอเชียเพียงหนึ่งคนเท่านั้น ซึ่งพิธีกรและเจ้าของรายการก็คือ ไมเคิล โบลตัน นักร้องและนักแต่งเพลงชื่อดังระดับโลกผู้กวาดรางวัลมาแล้วมากมาย

หนึ่งในสาวไทยที่ติดเข้ารอบรายการนี้ก็คือ มายด์-นวินดา สิทธิ์ธะติกานต์ สาวเก่งวัย 23 ปี นักวิเคราะห์การตลาดของบริษัท A Commerce ซึ่งทำเกี่ยวกับมาร์เก็ตติ้ง ออนไลน์ ผู้ซึมซับและรักการร้องเพลงมาเรื่อยๆ ตั้งแต่เด็กๆ ก็ใช้ความสามารถในการร้องเพลงของเธอเป็นกุญแจผ่านเข้าสู่รอบ 8 คนสุดท้ายของผู้เข้าแข่งขันจาก 4 ประเทศทั่วเอเชีย และสามารถคว้าตำแหน่งรองชนะเลิศจากรายการ Bolt of Talent มาได้ ลองไปฟังเธอเล่าประสบการณ์ดีๆ ที่น้อยคนนักจะมีโอกาสอยู่ตรงนั้นให้ฟังดีกว่า

นวินดา สิทธิ์ธะติกานต์ บนเวทีมีประสบการณ์ล้ำค่า

 

“มายด์เรียนจบคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเพิ่งทำงานบริษัทได้ 1 ปีเท่านั้น ตอนเด็กๆ มายด์ก็ร้องเพลงอยู่บ้าง แต่ตอนนั้นยังไม่ค่อยรู้ตัวว่าตัวเองชอบร้องเพลงมากนัก กระทั่งเข้ามหาวิทยาลัยมายด์ก็มีโอกาสได้สมัครเข้าไปเป็นนักร้องในวงซียูแบนด์ของจุฬาฯ เนื่องจากพี่สาวเป็นนักดนตรีอยู่ในวง พี่ก็เลยชวนเข้ามาอยู่ในวงด้วยกัน มายด์จึงเริ่มแน่ใจยิ่งขึ้นว่าตัวเองชอบร้องเพลงจริงๆ แล้วล่ะ แต่ตอนเด็กๆ จะคิดเสมอว่าตัวเองร้องไม่ค่อยเก่ง จึงไม่กล้าที่จะเปิดเผยมากนัก ทั้งที่สมาชิกในบ้านคือ พ่อ แม่ และพี่สาว รักเสียงดนตรีกันทั้งบ้าน มายด์ก็เลยซึมซับความชอบมาเรื่อยๆ แบบไม่รู้ตัว

การเป็นนักร้องในวงซียูแบนด์ ถ้าช่วงไหนที่จุฬาฯ จัดงานอะไรในมหาวิทยาลัย วงซียูแบนด์ก็จะไปเล่นดนตรีและมายด์ก็จะเป็นหนึ่งในนักร้องที่ไปช่วยร้องในงานบ้างมาตั้งแต่เรียนปี 1 บางครั้งก็มีบริษัทต่างๆ มาจ้างให้วงไปเล่นในงานเลี้ยงบริษัทบ้าง หรืองานแต่งงานบ้าง มายด์ก็มีโอกาสได้ไปร้องอยู่บ่อยๆ เพลงส่วนใหญ่ที่มายด์ชอบและถนัดจะเป็นเพลงสากล ทั้งแนวอาร์แอนด์บีและโซล ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจาก วิตนีย์ ฮุสตัน ถือเป็นนักร้องคนโปรดเลย การเป็นนักร้องในวงซียูแบนด์ตลอดระยะเวลา 4 ปีในช่วงที่เรียนทำให้มายด์ค่อยๆ เก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปเรื่อยๆ ระหว่างนั้นก็มีไปร้องที่ร้านอาหารกลางคืนบ้าง คืนละ 2-3 ชั่วโมง ซึ่งช่วยฝึกทั้งการร้อง การแสดงออก และการสื่อสารกับผู้คนได้เยอะขึ้น”

มายด์ เล่าว่า เมื่อต้นปีที่ผ่านมา เธอมีโอกาสได้ไปแข่งขันในรายการ “หาคู่ Duet” โดยได้อยู่ทีมของ แก้ม เดอะสตาร์ (วิชญาณี เปียกลิ่น) ณ จุดนั้นเธอคิดว่าทุกคนที่เข้าแข่งขันร้องเพลงล้วนเก่งกันมากๆ เธอได้เข้าไปถึงรอบ 6 คนสุดท้ายก็ตกรอบไป แต่ก็ถือว่าน่าพอใจกับการแข่งขันครั้งแรก

“หลังจากนั้นมายด์ก็มีโอกาสได้เข้าแข่งขันในรายการ Bolt of Talent เลยค่ะ คือตอนนั้นมีรุ่นพี่ในวงซียูแบนด์รู้ข่าวมาว่าจะมีรายการนี้ เขาก็เลยส่งข้อมูลมาในไลน์กลุ่ม พอมายด์เห็นก็รู้สึกว่าน่าสนใจดี เพราะรายการนี้จะออกอากาศใน 5 ประเทศของเอเชีย คือ สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ ไทย มาเลเซีย และไต้หวัน บอกตามตรงว่าที่ผ่านมาเราชอบร้องเพลงก็จริง แต่มายด์ก็ไม่ใช่สายประกวดตั้งแต่ต้นแล้ว

ที่ตัดสินใจเข้าแข่งขันในรายการนี้ เพราะคิดว่าส่วนใหญ่แล้วจะแข่งขันร้องเพลงสากล ซึ่งเป็นทางที่เราถนัด ที่ผ่านมามายด์จะร้องเพลงสากลซะเยอะ ไม่ค่อยได้ร้องเพลงไทย รู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะที่จะร้อง อีกอย่างรายการ Bolt of Talent น่าจะทำให้เราได้ประสบการณ์ที่ดีและอาจทำให้เราเก่งขึ้น

นวินดา สิทธิ์ธะติกานต์ บนเวทีมีประสบการณ์ล้ำค่า

 

เมื่อคิดได้แบบนั้นมายด์ก็ส่งข้อมูลส่วนตัวไปให้ต้นสังกัดที่ผลิตรายการ ซึ่งอยู่ในประเทศไทย เพื่อให้ทีมงานพิจารณา โดยส่งคัฟเวอร์เพลง ‘Saving All My Love For You’ ของ วิตนีย์ ฮุสตัน ไปให้ทีมโปรดิวเซอร์ฟัง วันหนึ่งขณะมายด์นั่งทำงานอยู่ ทีมงานของรายการก็โทรมาหา แล้วบอกว่าเราผ่านเข้ารอบแรกแล้วนะ แต่ต้องไปร้องออดิชั่นอีกหนึ่งรอบถึงจะอัดรายการได้ รอบออดิชั่นมายด์จึงร้องเพลง ‘Suit & Tie’ ของ จัสติน ทิมเบอร์เลค คือตอนนั้นเขายังปิดข่าวอยู่ไงคะ ทีมงานจึงยังไม่ได้บอกอะไรเรามาก เพราะต้องการปิดไว้เป็นความลับ”

มายด์ บอกว่า การคัดเลือกครั้งนี้ทีมงานได้เลือกคนไทยให้เข้ารอบ 2 คน เพื่อจะไปแข่งขันในรอบออกอากาศจริง ซึ่งก็คือเธอและอีกคนที่ชื่อว่า “เพจ” เรียกว่าทั้งสองคนได้เห็นหน้ากันครั้งแรกก็ในวันที่ออกอากาศครั้งแรกนั่นแหละ

“เทปแรกที่ออกอากาศจะมีผู้เข้ารอบจากฟิลิปปินส์ ไทย มาเลเซีย และไต้หวัน ประเทศละ 2 คน (รวมแล้ว 8 คน) ซึ่งเทปแรกนี้ ไมเคิล โบลตัน ได้บินมาเซอร์ไพรส์และคัดเลือกผู้เข้ารอบด้วยตัวเองเลย ซึ่งตอนอัดรายการก็จะมีกิจกรรมคือ การร้องเพลงกับดนตรี ร้องอัดเสียง และร้องสด รวมทั้งมีกิจกรรมอื่นๆ สอดแทรกอยู่มากมาย โดยเราไปอัดรายการกันที่ประเทศมาเลเซีย

ตอนออกอากาศเทปแรก ทีมงานจะให้ผู้เข้าแข่งขันม็อกอัพการสอนร้องเพลงขึ้นมา โดยทีมงานจะหาคนมานั่งเรียนจริงๆ ในคลาสที่เราสอน แล้ว ไมเคิล โบลตัน ก็จะเข้ามานั่งฟังตอนสอนด้วย สำหรับกิจกรรมการร้องเพลง ผู้แข่งขันชาวไทยจะมี ลีเดีย ศรัณย์รัชต์ มาร่วมฟังเราร้องเพลงและเป็นโค้ชให้ด้วย โดยมีไมเคิลนั่งฟังอยู่อีกที ซึ่งเทปแรกใช้เวลา 2 วัน ในรอบนี้มายด์ร้องเพลง ‘Will the Circle be Unbroken’ แล้วพอวันที่สามก็มีการคัดเลือกให้เหลือผู้เข้าแข่งขันแค่ประเทศละ 1 คนเท่านั้น รอบนี้มายด์ร้องเพลง ‘Steel Bars’ ของ ไมเคิล โบลตัน ปรากฏว่าประเทศไทยก็เหลือมายด์เข้ารอบอยู่ 1 คน ตอนนั้นรู้สึกตื่นเต้นและดีใจมากๆ ทำให้รอบนั้นเหลือผู้เข้าแข่งขัน 4 คนจาก 4 ประเทศแล้ว”

มายด์ เล่าว่า เมื่อไปอยู่ที่มาเลเซียก็ได้แข่งขันกันต่ออีก 3 Episode โดยเทปแรกมีกิจกรรมให้ทำคือ การขึ้นไปนั่งบนรถโฟร์วีลไดรฟ์ยี่ห้อซูบารุที่กำลังวิ่งและขับขึ้น-ลงภูเขาแบบโรดทริป ซึ่งผู้เข้าแข่งขันทั้ง 4 คน ต้องร้องโอเปร่าขณะรถวิ่งไปด้วย กิจกรรมนี้เรียกว่าทั้งสนุกทั้งตื่นเต้นเลยล่ะ ต่อมาไมเคิลก็จะเป็นคนจัดอันดับให้ว่าใครจะได้ร้องเพลงเป็นคนที่ 1, 2, 3 และ 4 เพื่อจะได้เลือกเพลงของเขาให้ทั้ง 4 คนร้อง ปรากฏว่ามายด์ได้เพลง “Soul Provider” คนอื่นๆ ก็ได้เพลงของไมเคิลไปคนละเพลง คือรอบนี้จะคัดออกจาก 4 คน ให้เหลือผู้เข้าแข่งขันแค่ 3 คน (ประเทศที่ออกไปคือ ไต้หวัน)

นวินดา สิทธิ์ธะติกานต์ บนเวทีมีประสบการณ์ล้ำค่า

 

“พอถึงเทปที่สอง มายด์รู้สึกว่าโจทย์มันยากและท้าทายมากๆ นั่นก็คือการให้เรา 3 คนที่เหลือแต่งเพลงคนละเพลง มายด์ก็ต้องรวบรวมสมาธิแล้วใช้ประสบการณ์ที่เคยพบเจอนำมาแต่งเพลงเป็นเนื้อภาษาอังกฤษทั้งหมด ชื่อเพลงว่า ‘I Believe In You’ ซึ่งก็ออกมาใช้ได้ ไมเคิลยังบอกว่าชอบคอนเซ็ปต์ในการคิดเพลงของมายด์ด้วย เพลงนี้เป็นเพลงจังหวะเร็วๆ หน่อย ซึ่งจะใช้ในการโฆษณาของซูบารุที่เป็นสปอนเซอร์ให้รายการ จากนั้นก็มีการถ่าย MV ของรายการต่อ ซึ่งเทปที่สองนี้จะคัดผู้เข้าแข่งขันออกจนเหลือแค่ 2 คน (ประเทศที่ออกไปคือ มาเลเซีย) จึงเหลือแค่ไทยกับฟิลิปปินส์

พอถึงเทปที่สามก็เหลือมายด์กับแลนซ์ ซึ่งเป็นหนุ่มชาวฟิลิปปินส์ คืออย่างที่เรารู้กันดีว่า คนฟิลิปปินส์นี่ร้องเพลงเก่งมาก ซึ่งแลนซ์ก็ร้องได้ทุกแนวจริงๆ ทั้งโอเปร่า อาร์แอนด์บี โซล และดีว่า เรียกว่าเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวมากค่ะ (หัวเราะ) รอบนี้จะเป็นแกรนด์ ฟินาเล่ ซึ่งจะเน้นโชว์ซะมากกว่า รอบนี้ได้โชว์เพลง ‘How Am I Supposed to Live Without You’ ของ ไมเคิล โบลตัน ซึ่งมายด์กับแลนซ์ร้องเพลงเดียวกัน แต่สลับท่อนกันร้องคนละครึ่งเพลง โดยแลนซ์จะร้องท่อนแรกก่อน แล้วรอบนี้จะตัดสินผู้ชนะเลย ซึ่งเท่าที่ผ่านมามายด์ว่าตัวเองก็ทำเต็มที่แล้ว พอผลการตัดสินออกมาแลนซ์ได้ที่ 1 มายด์ได้ที่ 2 ก็รู้สึกชิลมากๆ เลย ไม่รู้สึกผิดหวังอะไร เพราะเขาเก่งจริงๆ แค่นี้มายด์ก็ว่าตัวเองมาได้ไกลที่สุดแล้ว”

มายด์ บอกว่า ผู้ชนะจะได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงของ ไมเคิล โบลตัน เพื่อออกซิงเกิ้ลใหม่ 1 เพลง พร้อมกับออกทัวร์กับไมเคิลไปทั่วโลก ส่วนเธอก็ได้รางวัลเป็นสิ่งอื่นๆ ติดไม้ติดมือกลับมา แต่ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นได้เธอได้ชนะใจตัวเอง ได้ประสบการณ์ที่หาซื้อไม่ได้ แม้ซีซั่นแรกนี้จะแค่แข่งขันเฉพาะประเทศในแถบเอเชีย แต่กว่าจะฝ่าฟันมาถึงรอบนี้ได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ

“ทุกวันนี้เพื่อนๆ ที่เข้าแข่งขันด้วยกันก็ยังติดต่อและพูดคุยกันอยู่เลยค่ะ เรียกว่าเราได้มิตรภาพเพิ่มขึ้นด้วย ในอนาคตมายด์ใฝ่ฝันอยากจะมีซิงเกิ้ลเพลงสากลเป็นของตัวเอง แต่ในเมืองไทยคนอาจจะเข้าถึงยากหน่อย อาจจะมีคนที่ชอบเพลงสากลจริงๆ เฉพาะกลุ่ม แต่กระนั้นมายด์ก็อยากมีเพลงสากลของตัวเองอยู่ดี ส่วนใหญ่มายด์จะถนัดร้องเพลงจังหวะกลางๆ

หากมีค่ายบางค่ายเสนอให้ทำซิงเกิ้ลเพลงภาษาไทย มายด์คิดว่าถ้าเพลงนั้นดูเหมาะกับมายด์ก็น่าจะทำได้เหมือนกันค่ะ ถ้ามีโอกาสเข้ามาแล้วค่อยว่ากันอีกทีนึง ถ้าให้ยกตัวอย่างเพลงไทยที่มายด์อยากร้อง จะออกแนวๆ หน่อยแบบเพลงของวงพาร์คินสัน ซึ่งจะเป็นเพลงแนว
อินดี้ๆ หน่อย มีอิมโพรไวส์ มีแอดลิบหรือลูกเล่นเยอะๆ ส่วนเพลงหวานๆ สำหรับมายด์แล้วคิดว่าไม่น่ารอดค่ะ (หัวเราะ) ส่วนการลงประกวดเวทีอื่นๆ เช่น The X Factor Thailand หรือ The Voice Thailand ปีนี้คงไม่ทันแล้ว เดี๋ยวปีหน้าค่อยว่ากันใหม่ค่ะ”

นวินดา สิทธิ์ธะติกานต์ บนเวทีมีประสบการณ์ล้ำค่า

 

มายด์ ทิ้งท้ายว่า เธอวางอนาคตไว้ว่าหลังจากนี้ก็ยังอยากทำงานประจำที่ทำอยู่เหมือนเดิม อีกส่วนหนึ่งก็อยากทำดนตรีหรือทำซิงเกิ้ลออกมาด้วย เพราะมองว่าการทำดนตรีหรือซิงเกิ้ลเพลงในยุคนี้เหมือนการเป็นฟรีแลนซ์ ดังนั้นการทำงานประจำไปด้วยและทำงานดนตรีควบคู่ไปด้วยก็สามารถทำได้ เพราะดนตรีคือความหลงใหล ทำแล้วมีความสุขแค่นั้นก็พอ

“จริงๆ แล้วคนที่รักการร้องเพลง มายด์ว่าทุกคนก็มีความฝันที่อยากจะมีซิงเกิ้ลของตัวเองหรือมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของผู้คนด้วยกันทั้งนั้น แต่ก็ต้องอยู่ที่จังหวะเวลาและโอกาสดีๆ ที่จะเข้ามามากกว่าค่ะ บางครั้งอยู่ดีๆ บางคนไม่ได้คาดคิดว่าตัวเองจะเป็นที่รู้จักเลยนะ แต่ก็มีคนมาติดตามในโซเชียลมีเดียเป็นล้านคน ซึ่งเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ในยุคดิจิทัลแบบนี้

ตอนนี้รายการ Bolt of Talent ได้ออกอากาศจบไปแล้ว แต่แฟนๆ สามารถดูย้อนหลังได้ในยูทูบเลยค่ะ มายด์ว่าการที่ตัวเองมีโอกาสได้เข้าไปแข่งขันในรายการนี้ ถือเป็นโอกาสดีๆ ของชีวิตที่ตัวเองจะไม่มีวันลืมแน่นอน สิ่งสำคัญอีกอย่างก็คือเราทำให้คุณพ่อคุณแม่ ซึ่งรักเสียงเพลงและคอยสนับสนุนเรามาตลอดรู้สึกภาคภูมิใจและมีความสุข แค่นี้มายด์ว่าก็เป็นสิ่งมีค่าที่สุดของตัวเองแล้วละค่ะ”

ติดตามได้ที่ FB : Mild Nawin และ IG : mild nawin