posttoday

'ทรงเป็นนักพัฒนาอย่างแท้จริง' ดร.จินตนันท์ ชญาต์ร ศุภมิตร

28 ตุลาคม 2560

ตั้งแต่วันเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร

โดย  วราภรณ์ ผูกพันธ์ ภาพ : เสกสรร โรจนเมธากุล

นับตั้งแต่วันเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช บรมนาถบพิตร นำความว้าเหว่มาสู่ใจของปวงชนชาวไทยทุกคน รวมทั้ง ดร.ฝัน-จินตนันท์ ชญาต์ร ศุภมิตร สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ บุตรสาวเพียงคนเดียวของท่านผู้หญิงพึงจิตต์ ศุภมิตร คุณข้าหลวงคนแรกในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ การที่คุณแม่ของเธอถวายงานใกล้ชิดล้นเกล้าฯทั้งสองพระองค์ตั้งแต่เธอยังไม่เกิด ทำให้ชีวิตวัยเด็กของ ดร.ฝันวิ่งเล่นอยู่ในพระตำหนักจิตรลดารโหฐานที่เต็มไปด้วยความทรงจำมากมายเกี่ยวกับพระมหากรุณาธิคุณของทั้งสองพระองค์ที่ทรงเป็นนักพัฒนาอย่างแท้จริง ซึ่งเธอขอจดจำตลอดชีวิต ในวัย 88 ปีคุณแม่ของเธอยังคงถวายงานใกล้ชิดสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 เป็นคุณข้าหลวงคนแรกมานานกว่า 70 ปี และยังคงความทรงจำดี

ข้าราชบริพารตั้งแต่รุ่นคุณปู่-คุณตา

'ทรงเป็นนักพัฒนาอย่างแท้จริง' ดร.จินตนันท์ ชญาต์ร ศุภมิตร

 

 

ดร.จินตนันท์ ถ่ายทอดว่า วงศ์ตระกูลของเธอได้ถวายงานต่อพระมหากษัตริย์มาโดยตลอด ครอบครัวของเธอทางฝ่ายคุณพ่อได้ถวายงานพระบรมวงศานุวงศานุวงศ์มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา คือเจ้าพระยาบวรราชนายก (เฉกอะหมัด) ต้นสกุลบุนนาค และต้นตระกูล เคยเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ในสมัยรัชกาลที่ 5 (สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) คุณทวดเป็นพระพี่เลี้ยงของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า เจ้าอยู่หัวตั้งแต่ทรงศึกษาที่ประเทศอังกฤษ เป็นองคมนตรีและราชองครักษ์ (พระตำรวจเอกเจ้าพระยาราชศุภมิตร (อ๊อด ศุภมิตร) ส่วน คุณปู่ ( เสวกเอก พระยาสมบัติบริหาร (เอื้อ ศุภมิตร) เป็นพระยาพระคลังข้างที่ ในสมัยรัชกาลที่ 7

ส่วนฝ่ายคุณแม่ก็ตั้งแต่รุ่นคุณตาทวด พระยาสีหราชฤทธิไกร (ทองคำ สีหอุไร) รับราชการในรัชกาลที่ 5 ส่วนคุณตา พ.ต.หลวงพลหาญสงคราม (จิตร อัคนิทัต) เป็นนายทหารใต้บังคับบัญชาของพันเอก หม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร (ต่อมาคือ พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้านักขัตรมงคล กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ) พระบิดาในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้รับทุนไปเรียนต่อที่โรงเรียนเสนาธิการกับจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ประเทศฝรั่งเศส กระทั่งปี 2476 หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง มีการฟ้องร้องพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว คุณตาไม่เห็นด้วยจึงไปเข้ากลุ่มกับกบฏบวรเดช และถูกยิงเสียชีวิตที่ทุ่งบางเขน ตอนนั้นคุณแม่ (ท่านผู้หญิงพึงจิตต์) อายุเพียง 2 ขวบ จึงไปอาศัยอยู่กับญาติ โดยมีท่านนักขัตรฯเป็นผู้ส่งเสียให้เรียนโดยทุกเดือนจะเข้าไปที่วังเทเวศร์เพื่อรับเงินจากคุณท้าววนิดาพิจาริณี(พระอัยยิกา ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ)

กระทั่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงหมั้นกับสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิ ติ์ พระบรมราชินีนาถ แล้วเสด็จกลับเมืองไทย วันที่ที่ทั้งสองพระองค์เสด็จนิวัติพระนคร ในฐานะประชาชนชาวไทยคนหนึ่ง นางสาวพึงจิตต์ก็ได้ไปเฝ้าจากอยู่ไกลๆ ถูกดันมาเฝ้ารับเสด็จอยู่ด้านหน้าโดยบังเอิญ ท่านนักขัตรฯทอดพระเนตรเห็นก็ทรงจำได้ จึงทรงเรียกคุณแม่ให้เข้าไปพบที่วัง และรับสั่งว่าให้มาอยู่กับสมเด็จพระราชินีซึ่งตอนนั้นคุณแม่อายุประมาณ 19 ปี แก่กว่าพระองค์ท่านเล็กน้อย นี่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของท่านผู้หญิงพึงจิตต์ที่ได้ถวายงานในตำแหน่งคุณข้าหลวงในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถคนแรก

“สมัยก่อนในวังจะมีคุณข้าหลวงถวายงานรับใช้ใกล้ชิดซึ่งพระองค์จะแต่งตั้งใครก็ได้เป็นการส่วนพระองค์ แต่นางสนองพระโอษฐ์ต้องมีพระราชโองการแต่งตั้ง และต้องเป็นข้าราชการ แต่ของคุณแม่คือรับใช้ส่วนพระองค์ อะไรที่ไม่ใช่เอกสารทางการต้องคุณแม่ แล้วคุณแม่ก็ได้ตามเสด็จฯเป็นการส่วนพระองค์ไปทรงศึกษาต่อที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และตามเสด็จฯเยือนประเทศต่าง ๆ กว่า 27 ประเทศอย่างเป็นทางการ โดยคุณแม่มีหน้าที่ Wardrobe Keeper คือผู้ดูแลฉลองพระองค์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ส่วนการถวายงานต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวคือแม่มีหน้าที่ดูแลห้องทรงงานส่วนพระองค์ ถวายแผนที่และงานอื่นๆแล้วแต่จะทรงใข้สอย ”

คุณแม่พาเข้าวังตั้งแต่อายุเพียง 10 วัน

ดร.จินตนันท์เล่าว่า คุณแม่นำเธอเข้ามาเลี้ยงในวังสวนจิตรลดาตั้งแต่อายุเพียง 10 วัน เพราะในฐานะคุณข้าหลวงต้องถวายงานไม่ค่อยมีเวลาเป็นส่วนตัวเท่าไหร่ สถานที่เลี้ยงลูกของคุณแม่คือบนพระตำหนัก โดยมีพี่เลี้ยงคือเหล่าเพื่อนร่วมงานของคุณแม่และพิเศษที่สุดคือเธอได้รับพระกรุณาธิคุณจากเจ้านายองค์เล็ก ๆ เกือบทุกพระองค์ จึงเหมือนเป็นเด็กเล็ก ๆ ที่เติบโตในวังสวนจิตรลดา ซึ่งถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่สุด

“ตั้งแต่เด็ก ๆ ดิฉันได้เริ่มเรียนที่โรงเรียนจิตรลดา เรียกว่าล้นเกล้าฯทั้งสองพระองค์มีพระมหากรุณาธิคุณมาก ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงรู้ว่าแม่เป็นห่วงเพราะแม่มีลูกสาวคนเดียว แต่แม่ต้องตามเสด็จฯไปต่างจังหวัดทีละนาน ๆ ไม่ว่างไปรับส่งลูกสาว พระองค์จึงมีรับสั่งให้รถยนต์หลวงไปรับดิฉันที่บ้านและไปส่งที่โรงเรียนทุกวันตั้งแต่แต่เรียนชั้นประถม 1 จนจบมัธยมปลาย จนเรียนมหาวิทยาลัย ถ้าช่วงเสด็จฯประทับกรุงเทพ ฯ พอตกเย็นดิฉันเลิกเรียนเสร็จก็เดินจากโรงเรียนไปพระตำหนัก เพื่อรอกลับบ้านพร้อมคุณแม่”

ในวัง ภาพที่เธอเห็นจนชินตาคือ ล้นเกล้าฯทั้ง 2 พระองค์ทรงวิ่งออกกำลังกายทุกวัน วันไหนถ้าฝนตกจะทรงวิ่งที่ศาลาดุสิตดาลัย โดยทรงวิ่งลงบันไดที่จะมีป้ายทูลรายงานว่า ทรงวิ่งได้กี่รอบแล้ว และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชีนีนาถในรัชกาลที่ 9 โปรดให้เด็ก ๆ วิ่งตามเสด็จฯด้วย ร่วมทั้งหากเป็นช่วงปิดภาคเรียนทรงมักมีรับสั่งให้เด็ก ๆ ตามเสด็จฯไปวิ่งขึ้นดอยปุย ที่เชียงใหม่ หรือหาดทรายใหญ่ ที่หัวหิน

“สมัยก่อนทั้งสองพระองค์ทรงมีพลานามัยแข็งแรง ทรงวิ่งเร็วมากๆ เวลาเดินทรงก้าวเร็ว เห็นสมเด็จฯทรงสิริโฉมงดงามมากอย่างนั้น ทรงแข็งแรงทรงพระดำเนินเร็วไม่งั้นทรงงานหนักไม่ได้ และยังทรงว่ายน้ำเร็วมากๆ ถ้าฝนตกสมเด็จฯก็ประทับบอยู่ข้างในและทรงออกเอ๊กเซอร์ไซส์ แทน ในหลวงรัชกาลที่ 9 โปรดการเล่นแบตบินตัน ที่ เมื่อก่อนทรงแบตที่ศาลาผกาภิรมย์ ตรงโรงเรียนจิตรลดา ส่วนที่วังไกลกังวลก็มีสนามแบตมินตันชื่อศาลาเริง และยังโปรดทรงเรือใบ ส่วนสมเด็จพระศรีฯทรงเปตองทรงเล่นเป็นกีฬาเลย และโปรดทรงแบต เมื่อเด็กๆสมเด็จฯ รับสั่งให้มนุษย์กบมาสอนดิฉันว่ายน้ำตอนเจ็ดโมงเช้าทุกวัน เด็ก ๆ ทุกคนมายืนริมเขื่อนวังไกลกังวลที่หัวหิน หนาวก็หนาว ครูฝึกก็ดุมาก เพื่อให้เราว่ายน้ำในทะเลเป็น เพื่อเวลาตามเสด็จฯจะได้ว่ายได้”

 

ตามเสด็จฯ ตั้งแต่อายุ 8 ขวบ

'ทรงเป็นนักพัฒนาอย่างแท้จริง' ดร.จินตนันท์ ชญาต์ร ศุภมิตร

 

 

เด็กหญิงจินตนันท์ได้ตามเสด็จพระราชดำเนินล้นเกล้าทั้ง 2 พระองค์ตั้งแต่อายุเพียง 8 ขวบ กำลังอยู่ในวัยซนมาก ๆ

“เวลาตามเสด็จฯออกไปจากวัง รถขบวนยังกลับไม่ถึงวังจะมีคนโทร.มาฟ้องแม่ว่า ดิฉันไปวิ่งเล่นกับ ม.ล.สราลี กิติยากร ตรงพระที่นั่งจักรี ช่วงมีพระราชพิธี เวลามีพระสวดดิฉันกับคุณน้ำผึ้ง (พระขนิษฐาพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ)ก็ไปวิ่งเล่นกับรอบนอกพระที่นั่ง ไปเต้นอยู่บนช่องแอร์ ก็โดนคุณแม่ พี่ป้าน้าอาดุหมด เจ้านายก็ทรงดุ ด้วยความเป็นเด็กดิฉันก็รู้สึกเฉย ๆ โดนดุเป็นเรื่องธรรมดามากสำหรับดิฉัน ”

ภารกิจของเด็ก ๆ ในสมัยนั้นคือตามเสด็จฯสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ไปหัวหินตอนเย็น ๆ โปรดประทับอยู่ที่หัวหินนานเป็นพิเศษเพราะอยู่ในช่วงปิดภาคเรียนใหญ่พอดี เด็กหญิงจินตนันท์จึงมีเวลาตามเสด็จมาก

“สมเด็จพระนางเจ้าฯรับสั่งให้ตามเสด็จฯ รถออกบ่ายสามโมง ดิฉันก็ต้องเปลี่ยนกางเกงแล้วไปยืนรอ เพื่อตามเสด็จฯไปตามโครงการต่าง ๆ ดิฉันโชคดีที่ได้ตามเสด็จฯขณะที่พระองค์ทรงงานหนักมาก พอดิฉันโตขึ้นมาพระชนม์ชีพก็มากแล้ว ตอนตามเสด็จฯไปตอนเด็ก ๆ พอรถขบวนจอดดิฉันมองเห็นราษฎรเฝ้ารอ ดิฉันมีหน้าที่ถือพระกระเป๋าของสมเด็จฯ นอกจากนี้ดิฉันมีหน้าที่แจกข้าวกล่อง แจกส้ม แจกน้ำทหาร สมเด็จฯโปรดให้เด็ก ๆ ตามเสด็จฯ แต่เราต้องเฝ้าดูว่าเวลาเสด็จฯกลับ เราต้องกลับขึ้นรถให้ทัน ดิฉันอายุประมาณ 12-17 ขวบก็ยังได้ตามเสด็จฯอยู่ ตอนเข้ามหาวิทยาลัยโตแล้วไม่ค่อยได้ไปเพราะเรียนหนัก นาน ๆ ไปที เคยตามแม่ ไปหลายภาค ตอนเช้าสมเด็จฯรับสั่งให้แม่ไปถวายภัตตาหารแด่หลวงปู่แหวน หลวงปู่ฝั้น พระเกจิดังๆทั้งนั้น สมัยนั้นในหลวงทรงทำเหรียญพระราชทานทหาร ตำรวจ อาสาสมัครที่สู้รบกับคอมมิวนิสต์ ดิฉันก็ไปช่วยปั๊มเหรียญอยู่ด้านล่างพระตำหนักเป็นเหรียญรุ่นเราสู้”

 

พระเมตตาต่อข้าราชบริพาร

พระเมตตาพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระราชทานให้เหล่าข้าราชบริพารไม่ขาดสายและมีมากล้น

“สมัยดิฉันเด็ก ๆ อายุราว 2 ขวบ พระองค์ทรงทำพระสมเด็จจิตรลดา สงสัยมีคนมาสอนดิฉันให้มาทูลขอพระจากพระองค์ สมัยนั้นทหารมายืนยามอยู่ด้านล่างพระตำหนัก ทุกครั้งที่เสด็จฯออกจะทรงใส่พระในฉลองพระองค์ 4 องค์ ไว้ทรงแจกทหารยาม มีวันหนึ่งพอพระทวาร (ประตู) เปิดปุบ ดิฉันด้วยความเป็นเด็กก็วิ่งเข้าไปกราบพระบาท ขอพระราชทานพระ พูดซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น จนมีรับสั่งให้ไปตามแม่ดิฉันมา พอแม่วิ่งมา แม่ก็ทูลว่า ไม่ได้สอนเพคะ เลยโชคดีได้รับพระราชทานพระมา เป็นพระสมเด็จจิตรลดาองค์เล็ก”

อีกเหตุการณ์หนึ่ง เด็กหญิงจินตนันท์ คุณน้ำผึ้งและเพื่อนๆในวังออกไปวิ่งเล่นที่ระเบียงบนชั้น 3 ขณะเสวยพระกระยาหารกลางวัน ทอดพระเนตรเห็นเด็กกลุ่มหนึ่งวิ่งอยู่บนกันสาดบนชั้น 3 ตกพระทัย ทรงดุให้เด็กหยุดแล้วเข้ามาด้านในเดี๋ยวนี้ แม้สุรเสียงทรงพูดเรียบ ๆ แต่ทำให้เด็กน้อยเกรงได้

“พระองค์รับสั่งว่า รู้ไหมมันอันตรายถ้าตกลงไปไม่ตายก็พิการ แล้วพ่อแม่จะทำอย่างไร” พระองค์ไม่ดุรุนแรงแต่ฟังแล้วดิฉันรู้สึกสลดเลยค่ะ”

พระอารมณ์ขันของในหลวงรัชกาลที่ 9

'ทรงเป็นนักพัฒนาอย่างแท้จริง' ดร.จินตนันท์ ชญาต์ร ศุภมิตร

 

 

“จินตนันท์” คือชื่อที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดชทรงตั้งให้ลูกสาวเพียงคนเดียวของท่านผู้หญิงพึงจิตต์ และพระราชทานเสมาทองคำ ภปร. พร้อมพระบรมราชโองการตั้งชื่อ ส่วนคุณแม่ มีชื่อเล่นว่า จู๋ พระองค์ก็พระราชทานให้ โดยทรงดูจากขนาดตัวที่เล็กจิ๋วรวดเร็วว่องไว ฟังคำสั่งผิดหรือถูกก็วิ่งไปแล้ว ตอนนี้ คนในวังเลยเรียกป้าจู๋กันทั้งวัง

วันหนึ่งคุณแม่เล่าว่า พระองค์กำลังเสวยอยู่ คุณแม่ทำหน้าที่ถวายงานเสิร์ฟเครื่องเสวย วันนั้นคุณแม่ใส่กระโปรงบานสีน้ำทะเลออกเขียวๆ นั่งที่พื้นแต่คุณแม่ผิวดำ พระองค์ทอดพระเนตรเห็น ทรงมองคุณแม่แล้วรับสั่งว่า แมลงวันในฝาชี คุณแม่ก็รู้สึกขำ ทรงมีพระเมตตากับเหล่าข้าราชบริพารมาก ๆ ทรงให้ความเป็นกันเอง เคยทรงสเก็ตชภาพคุณแม่ในอิริยาบทต่างๆระหว่างทรงเดินทางในต่างประเทศด้วย

พระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์มีต่อ ดร.จินตนันท์และท่านผู้หญิงพึงจิตต์ยังซาบซึ้งอยู่ในใจ คุณแม่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเสมอ พูดทุกครั้งว่าเกียรติยศชื่อเสียงทุกอย่างก็มาจากพระเมตตาของทั้ง 2 พระองค์ “ คุณแม่เคยแต่งเพลงปลุกใจ ให้รักชาติจนมีชื่อเสียงก็เพราะสมเด็จฯรับสั่งให้ทำ หรือการเขียนหนังสือก็เพราะสมเด็จฯมีรับสั่งให้คุณแม่เขียนถวาย หนังสือเรื่อง เสด็จฯต่างประเทศ ตอนแรกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงขอยืมบันทึกส่วนตัวคุณแม่ไปทรงเทียบพระราชกรณียกิจและวันที่ ส่วน สมเด็จฯก็มีพระราชเสาวนีย์ให้เขียนถวายตอนมีพระชนมายุครบ 5 รอบ เรียกว่าพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์มีต่อดิฉันและคุณแม่ยังคงซาบซึ้งอยู่ในใจ อย่างเพลงปลุกใจให้รักชาติ สมเด็จพระนางเจ้าฯก็มีรับสั่งให้คุณแม่เขียนเนื้อร้อง รับสั่งว่าพึงจิตต์เห็นทหารตาย 10 คนเธอไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ คุณแม่จึงแต่งเพลงปลุกใจขึ้น ทรงดูแลสารทุกข์สุกดิบของข้าราชบริพารอย่างดีเยี่ยม ทั้งการรักษาพยาบาล เรื่องต่างๆ ทุกเรื่อง ตอนดิฉันไปเรียนต่อเมืองนอก ไปกราบพระบาทลา สมเด็จฯท่านก็พระราชทานพร ตอนสมรสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็พระราชทานน้ำสังข์ วันรุ่งขึ้น สมเด็จฯรับสั่งให้เฝ้าเป็นการส่วนพระองค์และพระราชทานเงินก้นถุงอีกด้วย

ตอนคุณพ่อไม่สบาย ได้รับพระมหากรุณาธิคุณรับเป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์ เมื่อ เสียชีวิตเจ้านายก็พระราชทานพวงมาลาทุกพระองค์และรับไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ทั้งสิ้น นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นหาที่สุดมิได้

ทรงเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต

ดร.ฝัน กล่าวว่า ในหลวง รัชกาลที่ 9 ทรงเป็นแบบอย่าง ทรงมีอิทธิพลกับชีวิตของเธอมาก ๆ ทรงเป็นต้นแบบในหลาย ๆ เรื่อง ที่เธอเป็นอย่างทุกวันนี้ได้อาจเป็นเพราะ การหล่อหลอมมาจากการตามเสด็จฯ ทำให้เธอเป็นผู้ที่ ทำอะไรคิดให้ใหญ่ ไม่คิดเล็ก เพื่อประเทศชาติ

“ส่วนตัวอยากทำก็ทำ และคิดเสมอว่าเมื่อเรามาในระดับหนึ่ง เรารู้สึกว่าเราได้อะไรมาเยอะ แล้วทำไมไม่ทำอะไรให้เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ สิ่งเหล่านี้น่าจะได้มาจากพระองค์ คุณแม่เองเศร้า แต่ไม่ได้ฟูมฟาย เพราะแม่อายุมากแล้ว เห็นชีวิตคนมาเยอะ และชีวิตก็

เป็นอนิจจัง แม่ถวายงานอยู่ในวัง ได้อยู่กับผู้ใหญ่ในบ้านเมืองมาตลอดชีวิต แม่เห็นการขึ้นการตกของคนมาหมด ทำให้รู้ว่าชีวิตนั้นไม่เที่ยง ส่วนดิฉันเองเรารู้คนเราไม่มีใครพ้นเกิดแก่เจ็บตาย แม้พระพุทธเจ้าก็ยังต้องเสด็จปรินิพาน วันหนึ่งเราเองก็ต้องเจอ ” ดร.ฝันกล่าวปลอบใจประชาชนคนไทยอีกว่า พระองค์น่าจะทอดพระเนตรพวกเราอยู่บนสรวงสวรรค์

ช่วง 1 ปีที่ผ่านมา แม้เริ่มชินและคิดว่าสามารถอยู่ต่อไปได้ แต่รู้ว่าทุกคนต่างรู้สึกว้าเหว่ สำหรับคนที่อายุ 70 ปีได้อยู่ 2 รัชกาลน่าจะรู้วิธีปรับใจได้ดีกว่าคนอายุ 40 ที่ได้อยู่ในรัชกาลเดียวตั้งแต่เด็ก เราจึงยังอาจปรับใจกันไม่ได้ แต่เราต้องเปิดใจยอมรับ และเราทุกคนสามารถนำหลักและแนวพระราชดำริที่พระองค์ทรงสอนมาดำเนินชีวิตของเราได้ เช่น "...การทำความดีนั้น โดยมากเป็นการเดินทวนกระแสความพอใจและความต้องการของมนุษย์ จึงทำได้ยาก และเห็นผลช้า แต่ก็จำเป็นต้องทำ เพราะหาไม่ความชั่วซึ่งทำได้ง่ายจะเข้ามาแทนที่ แล้วจะพอกพูนขึ้นอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันรู้ตัว..."

“ในการทรงงานหลักๆ พระองค์ทรงคิดทำการสิ่งใด พระองค์มักทำประชาพิจารณ์ก่อน ตั้งแต่เด็ก ๆ ดิฉันสังเกตว่า พระองค์ท่านอะไรจะไม่ทรงทำเลย แต่จะทรงถามราษฏรเสมอ ท่านจะทำอย่างนี้ ประชาชนเห็นด้วยไหม เราควรนำหลักการอย่างนี้มาใช้ พระองค์ไม่ได้เชื่อคนทูลเสมอไป พระองค์จะลงไปทอดพระเนตรเองก่อน ในการทำโครงการอะไรก็ตาม พระองค์จะให้ประชาชนมีอยู่ดีกินดีก่อน ซึ่งปัญหาปากท้องเป็นสิ่งสำคัญแล้วค่อยไปทำการพัฒนาส่วนอื่น ๆ การมีกิน ก็ต้องสามารถเพาะปลูก เลี้ยงปลาได้ จึงทรงริเริ่มด้วยการพัฒนาแหล่งน้ำก่อน ซึ่งพระองค์มีชื่อเสียงด้านการพัฒนาแหล่งน้ำ แหล่งดิน พระองค์ทรงงานลักษณะนี้ ทรงงานพระองค์ทรงดูภาพรวมใหญ่ แต่เริ่มจากจุดเล็ก แล้วค่อยขยายไป พระองคทรงมีแพลนในพระทัยทรงหาข้อมูลสรุปแล้วพระองค์ค่อยเริ่มทรงงานโครงการ พระองค์จึงถือเป็นนักพัฒนาอย่างแท้จริง

............

หมายเหตุ : ขอขอบคุณ บริษัท บิวตี้เจมส์ เอื้อเฟื้อสถานที่ในการถ่ายภาพ