posttoday

ที่ปรึกษาด้านการเจรจาต่อรอง ศุภกฤต มหาดำรงค์กุล

31 สิงหาคม 2560

โก้-ศุภกฤต มหาดำรงค์กุล วัย 27 ปี ทายาทกฤษฎา-วิภาวรรณ มหาดำรงค์กุล ดีกรีจบการศึกษาระดับปริญญาตรี

โดย...วราภรณ์ ภาพ : ทวีชัย ธวัชปกรณ์

โก้-ศุภกฤต มหาดำรงค์กุล วัย 27 ปี ทายาทกฤษฎา-วิภาวรรณ มหาดำรงค์กุล ดีกรีจบการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคภาษาอังกฤษ ปริญญาโทด้าน Hospitality & Tourism Manage
ment มหาวิทยาลัย Coventry กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ แม้ที่บ้านจะมีหลากหลายธุรกิจ อาทิ โรงแรมสวิสโซเทล เลอคองคอร์ด และโรงแรมเรเนซองส์ พัทยา รีสอร์ท แอนด์ สปา และบริษัท ศรีทองพาณิชย์ นำเข้านาฬิกาแบรนด์หรู แต่ตอนนี้หนุ่มโก้ขอไปหาประสบการณ์ทำงานในธุรกิจของคนอื่นก่อน เพื่อนำความรู้มาพัฒนาต่อยอดธุรกิจของที่บ้านต่อไป

ปัจจุบันโก้รั้งตำแหน่ง Negotiator Advisory & Transaction Services Office บริษัทข้ามชาติ CB Richard Ellis Thailand บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำจากอังกฤษ แต่เขาก็ใช้เวลาว่างช่วยธุรกิจของครอบครัวในด้านการให้คำแนะนำ พัฒนา และส่งเสริมด้านการตลาด และปลีกเวลาไปช่วยดูแลธุรกิจนาฬิกา ด้วยการจับมือกับพี่สาว ศรินญา มหาดำรงค์กุล ทำโครงการ Luminox จัดทำนาฬิกาข้อมือรุ่นลิมิเต็ด เอดิชั่น “Sea Turtle” จำนวน 900 เรือน สำหรับประเทศไทย เพื่อช่วยกันอนุรักษ์เต่าทะเล จะมีงานเปิดตัวในวันอังคารที่ 12 ก.ย.นี้ ที่สยามพารากอน ซึ่งเขารู้สึกภูมิใจที่เป็นส่วนหนึ่งที่ได้ช่วยกันอนุรักษ์สัตว์ทะเล

“ตอนนี้ผมเป็นที่ปรึกษาด้านการเจรจาต่อรองการให้เช่าออฟฟิศ ดีไซน์ดีเวลลอปเมนต์ และหาลูกค้าเพื่อเช่าอสังหาริมทรัพย์ที่เหมาะสมกับองค์กรของลูกค้า แม้ที่บ้านผมจะมีหลากหลายธุรกิจ แต่พี่สาวซึ่งจบการโรงแรมโดยตรงแนะนำว่าหลังเรียนจบปริญญาโท ผมควรออกไปทำงานด้านการให้เช่าออฟฟิศสัก 2 ปี เพื่อที่ผมจะได้เรียนรู้และหาประสบการณ์ก่อน

มีบางอย่างซึ่งผมไม่รู้มาก่อนก็ได้รู้ งานของผมได้ทั้งความรู้ การพัฒนา และตลาดออฟฟิศการให้เช่า รวมทั้งอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ รู้ว่าดีเวลลอปเปอร์ต้องทำอะไร ผมให้คำปรึกษาบริษัทใหญ่ๆ ทั้งการหาลูกค้าจากต่างประเทศ ซึ่งสนใจมาลงทุนในไทยเยอะมาก เช่น เฟซบุ๊ก จะมาเช่าออฟฟิศของเรา ก่อนเขาจะเช่าเขามีความต้องการอะไรบ้าง เช่น มีพื้นที่พักผ่อนสำหรับพนักงาน แล้วเราก็เฟ้นหาออฟฟิศที่เหมาะสมกับองค์กรของเขา หรือความต้องการของลูกค้า คือ ห้ามมีคู่แข่งในไลน์ธุรกิจเดียวกัน เช่าอยู่ในอาคารเดียวกัน เราก็ต้องหาอาคารให้เหมาะสมตามความต้องการของลูกค้า

สิ่งที่ผมได้คือผมได้เรียนรู้และเห็นมุมมองของเจ้าของบริษัทเอง ผมได้คุยกับผู้บริหารที่ต้องการเช่าตึก ซึ่งมุมมองผู้บริหารแต่ละบริษัทนั้นก็มีวิชั่นที่ไม่เหมือนกัน บางบริษัทแคร์พนักงานมาก อยากให้พนักงานได้สิ่งที่ดีๆ อยากได้ภาพลักษณ์ของบริษัทที่ดีที่สุด ผมก็ต้องหาว่าในไทยมีตึกอะไรบ้าง อีกฝั่งผมได้คุยกับดีเวลลอปเปอร์ว่าเลย์เอาต์ออฟฟิศควรออกมาเป็นอย่างไร เพราะสมัยนี้ดีเวลลอปเปอร์จะสร้างตึกตามใจเขาอย่างเดียวไม่ได้ ต้องดูความต้องการของตลาดด้วย ผมต้องดูครอบคลุมทั้งสองฝั่ง เราจะวางแผนการปล่อยเช่าอย่างไร เพราะปีนี้ตึกออฟฟิศเข้าตลาด 4-5 โปรเจกต์เอง สะท้อนว่าคนสร้างตึกน้อย แต่ความต้องการเช่าเยอะมาก”

ย้อนกลับมาที่ธุรกิจของครอบครัว ลูกๆ บ้านนี้ค่อนข้างสนิทกันมาก ธุรกิจแรกของครอบครัว คือ ธุรกิจนาฬิกาศรีทองพาณิชย์ ที่บุกเบิกโดยคุณปู่ (ดิลก มหาดำรงค์กุล) ซึ่งดำเนินธุรกิจมานานกว่า 60 ปีแล้ว ซึ่งทายาทรุ่นที่ 3 ตั้งใจจะสานต่อให้แบรนด์มีความแข็งแรงต่อไป

“ผมกับพี่สาวค่อนข้างสนิทกับคุณปู่เพราะเราอยู่บ้านเดียวกัน กินข้าวด้วยกันทุกวันเสาร์ ด้วยที่ผมเห็นคุณปู่ทำธุรกิจตั้งแต่เด็ก ทำให้เราเข้าใจรูปแบบการทำธุรกิจ ณ ตอนโตมากขึ้น คำสอนที่คุณปู่สอนผมตอนเด็กๆ คือ ฟังบ่อยๆ อย่าขี้เกียจ และก็ต้องรับผิดชอบสิ่งที่ตัวเองทำ  อีกสิ่งที่คุณปู่สอนคือให้หาความรู้ไปเรื่อยๆ เพราะอย่างคุณปู่ยุคหนึ่งท่านรู้ทุกอย่าง แต่ยุคนี้หลายสิ่งหลายอย่างที่คุณปู่ไม่รู้ คุณปู่ก็อยากให้หลานๆ ได้มีหูตาที่กว้างไกล เรียนรู้ตลอดเวลา อย่างผมตอนเด็กๆ ไม่ถนัดเรื่องเรียน แต่ชอบเล่นกีฬา เช่น เตะฟุตบอลและชอบทำกิจกรรมมาก จนผมเป็นนักฟุตบอลของโรงเรียนร่วมฤดี แต่พอเรียนชั้นมัธยมปลายใกล้สอบเอนทรานซ์ พ่อกับแม่จึงผลักดันและพูดให้คิดว่า ลูกควรเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ให้ได้ และแม่มีสองมหาวิทยาลัยให้เลือกเท่านั้น ผมจึงค่อยๆ ผลักดันตัวเองจนเข้าคณะวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ แต่ผมก็ชื่นชอบการเมืองเหมือนกัน ตอนเด็กๆ เคยฝันว่าอยากเป็นนักการเมือง พอทำงานความคิดก็เปลี่ยน คิดว่าเป็นนักธุรกิจก็ได้ (ยิ้ม)”

ด้วยเป็นลูกชายที่มีพี่สาวและน้องสาวอย่างละหนึ่ง ซึ่งพ่อแม่ก็ให้ความรักเท่าๆ กัน แต่เขารู้สึกกดดันตัวเองว่า หากในอนาคตน้องสาวพี่สาวมีครอบครัว เขาก็ต้องทำหน้าที่เป็นผู้นำครอบครัวนำพาธุรกิจก้าวไปให้ได้

“จริงๆ ที่บ้านผมไม่แบ่งนะครับว่าธุรกิจไหนคนไหนเป็นคนดูแล ลูกสนใจอะไรก็ทำ อย่างครอบครัวผมเติบโตมากับธุรกิจนาฬิกาถึง 60 ปี แม้เราอยู่ในธุรกิจโรงแรม หรือให้เช่าออฟฟิศ แต่เราก็ไม่ทิ้งสิ่งที่คุณปู่สร้างมา เราคุยกันในครอบครัวอยู่เสมอว่าอยากต่อยอดในสิ่งที่ครอบครัวเราเริ่มต้นขึ้น” อย่างเช่น การทำโครงการเพื่อฉลองที่ศรีทองฯ ครบรอบ 60 ปี ทีมงานและทายาทจึงช่วยกันคิดทำกิจกรรมที่คืนกลับสู่สังคม

“แรงบันดาลใจการออกแบบตัวหน้าปัดได้มาจากเต่ามะเฟือง ซึ่งตอนเราคิดทำโครงการตอนนั้นเต่าออมสินกำลังดังพอดี เราก็คุยกันที่บ้านว่าเราน่าจะทำรุ่นพิเศษขึ้นมาเพื่อหารายได้ช่วยเต่าทะเล ฉลามวาฬ พะยูน และอื่นๆ นะ พี่สาวของผม คุณแม่ และผม ได้ไปพูดคุยกับ ดร.ก้องเกียรติ กิตติวัฒนาวงศ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเล ชายฝั่งทะเล และป่าชายเลน ท่านไม่เห็นด้วยกับการปล่อยเต่าเพิ่ม เพราะกฎธรรมชาติเราปล่อยเต่าที่เราอนุบาลไปก็ไม่รอด เพราะเขาถูกเลี้ยงโดยคน เราจึงควรช่วยกันสร้างศูนย์ช่วยชีวิตสัตว์ทะเลดีกว่า และช่วยกันเผยแพร่ปลุกจิตสำนึกให้คนไทยให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติที่กำลังจะสูญพันธุ์ ผมจึงอยากให้คนไทยได้ตระหนักตรงจุดนี้ คนไทยอาจจะยังไม่รู้ข้อมูลตรงนี้เท่าไร ถ้าเราทำนาฬิการุ่นพิเศษออกมา อยากออกสื่อประชาสัมพันธ์ให้คนตระหนักได้นึกถึงบ้าง”

ในวัย 27 ปี ศุภกฤตกำลังตักตวงความรู้และตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ การได้ไปทำงานในบริษัทอื่นๆ ทำให้เขาได้เห็นช่องว่างระหว่างผู้บริหารกับพนักงาน ซึ่งหากถึงวันที่เขาได้กลับไปบริหารธุรกิจของที่บ้าน เขาจะใช้มุมมองการเป็นผู้บริหารรุ่นใหม่ ในการลดช่องว่างระหว่างเจ้านายกับลูกน้องให้ลดน้อยลง หากพนักงานมีปัญหาที่ไม่เข้าใจกับผู้บริหาร สามารถพูดคุยกันได้ เพราะหากเกิดปัญหาช่องว่างระหว่างกัน อาจทำให้เกิดปัญหาความไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน ดีที่สุดคือผู้บริหารควรลงมาคลุกคลีกับพนักงานให้มากขึ้น

“ถ้าผมกลับไปทำงานของตัวเอง ผมคงเป็นผู้บริหารที่มองพนักงานเป็นเหมือนคนในครอบครัว พนักงานในองค์กรสามารถมาคุยกับผมได้แบบไม่มีช่องว่าง ผมจะรับฟังความคิดเห็นของพนักงาน ผมคิดว่าผมคงกลับไป ไม่ใช่เร็วๆ นี้อาจ 2-3 ปีข้างหน้า เพราะผมอยากหาสิ่งท้าทายข้างนอกก่อน เพราะผมคิดว่าผมเรียนมาเยอะและโชคดีกว่าคนอื่นบ้าง ผมก็อยากรู้ตัวผมเองว่าตัวเองนั้นจะสามารถก้าวไปถึงจุดไหนก่อนที่จะกลับไปเป็นผู้บริหาร ผมยังอยากเรียนรู้สิ่งแปลกใหม่ครับ”

ในฐานะเจเนอเรชั่นที่ 3 เขามีมุมมองในการบริหารงานที่แตกต่างจากรุ่นพ่อแม่ รุ่นปู่ อย่างแน่นอน

“ความที่ผมเป็นคนรุ่นใหม่ ผมคิดว่าในการทำงานไม่ต้องมีขั้นตอนเยอะ หรือไม่ต้องมีแบบแผนอะไรมากนัก เราสามารถทำงานที่ไหนก็ได้ ทำงานที่ร้านกาแฟ หรือ เวิร์กกิ้งสเปซก็ได้ ความคิดทำงานจะสร้างสรรค์อยู่ที่คิดแบบไหน และความคิดสร้างสรรค์หาได้จากหลายๆ ทาง โครงสร้างองค์กรความใกล้ชิดผมให้พนักงาน 100% ทำให้ลูกน้องสามารถดึงศักยภาพตนเองออกมาใช้ได้เต็มที่”

รูปหล่อขนาดนี้ถ้าไม่ถามเรื่องสเปกของสาวๆ คงไม่ได้ ซึ่งสาวที่ศุภกฤตเทใจให้เป็นพิเศษ คือ เป็นผู้หญิงที่ทำงานเก่ง ไม่จำเป็นต้องทำอาหารอร่อย หรือเป็นแม่บ้านแม่เรือน

“ผมไม่ชอบผู้หญิงที่ทำอะไรไม่เป็น ผมเห็นพี่สาวและคุณแม่เป็นผู้หญิงทำงานเก่ง ฉลาด ผมจึงชอบผู้หญิงเก่ง คุยกันรู้เรื่อง เพราะถ้าคุยกันไม่รู้เรื่องจะกลายเป็นงอแง ซึ่งเวลาทำงานผมก็เหนื่อยแล้ว ผมคิดว่าผมเจอผู้หญิงมาหลายแบบ แม้สวยดึงดูดก็จริงแต่ยังสู้ความเก่งไม่ได้ ไลฟ์สไตล์ไม่ต้องเข้ากันได้ทุกอย่างก็ได้ แต่ขอให้เข้าใจกัน ผมไม่ค่อยปิดเรื่องแฟน เวลาผมคบใครผมจะพามาแนะนำให้ครอบครัวของผมได้รู้จัก ทั้งพ่อแม่ฝ่ายหญิงผมก็เข้าไปหา เรียกว่าเข้าตามตรอกออกตามประตูตลอดครับ”