ลาร์ส ชมิดท์ ส่งเสริมแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก
หนุ่มมาดเท่วัย 30 ต้นๆ ลาร์ส ชมิดท์ ผู้อำนวยการฝ่ายขาย โทมัส ซาโบ (Thomas Sabo) ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
โดย...ภาดนุ
หนุ่มมาดเท่วัย 30 ต้นๆ ลาร์ส ชมิดท์ ผู้อำนวยการฝ่ายขาย โทมัส ซาโบ (Thomas Sabo) ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เครื่องประดับชื่อดังสัญชาติเยอรมัน นอกจากหน้าตาจะหล่อแล้ว เขายังมีแนวคิดที่น่าสนใจและมีจุดมุ่งหมายการบริหารแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
“แบรนด์นี้ก่อตั้งขึ้นในปี 1984 โดย โทมัส ซาโบ ซึ่งเมื่อตอนที่เขายังหนุ่มๆ เขาชอบออกเดินทางไปทั่วโลกและชอบเสาะหาแรงบันดาลใจจากวัฒนธรรมในประเทศต่างๆ จากทั่วโลก ก่อนนำแรงบันดาลใจมาสร้างสรรค์คอลเลกชั่นเครื่องประดับ
แบรนด์นี้มีความหลากหลายและไม่เหมือนใคร เพราะเป็นเครื่องประดับที่สวมใส่ได้ทั้งหญิงและชาย รวมทั้งนำไปมิกซ์แอนด์แมตช์ได้ในหลายๆ โอกาส แม้ชิ้นงานจะไม่มีโลโก้ของแบรนด์อยู่บนตัวเครื่องประดับ หากสื่อความเป็นโทมัส ซาโบ ได้เป็นอย่างดีในตัวชิ้นงาน
โทมัส ซาโบ มีเอกลักษณ์ที่ชัดเจนมาก เนื่องจากตัวแบรนด์มีรากฐานมาจากตัวเจ้าของแบรนด์ซึ่งมีอุดมการณ์ที่ชัดเจน ทุ่มเทในสิ่งที่เขาหลงใหล สนุกสนาน ทั้งยังมีความกบฏอยู่ในตัวเองอีกด้วย ดังนั้นนิสัยและมุมมองทั้งหมดของเขาจึงสื่อไปถึงตัวแบรนด์ซึ่งมีดีเอ็นเอของเขาอยู่เต็มเปี่ยม”
ลาร์สเสริมว่า สิ่งสำคัญอีกอย่างที่ทำให้ โทมัส ซาโบ แตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ ก็คือ การใส่ใจในรายละเอียด “เครื่องประดับทุกชิ้นที่เราผลิตนั้นล้วนทำด้วยมือทั้งหมด นั่นเป็นสิ่งที่เราภูมิใจเป็นพิเศษ นอกจากเรื่องคุณภาพที่รับประกันได้แล้ว เครื่องประดับทุกชิ้นยังมีสัญลักษณ์และความหมายพิเศษต่างกันออกไปในแต่ละชิ้นด้วย ยกตัวอย่างเช่น สัญลักษณ์รูปหัวกะโหลกซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อแบรนด์เป็นพิเศษ รวมไปถึงชิ้นงานอย่างแหวนรุ่น Falcon ซึ่งสื่อถึงความแข็งแกร่ง เป็นต้น
เหตุผลที่แบรนด์โทมัส ซาโบ เลือกมาเปิดแฟล็กชิปสโตร์ขึ้นที่ชั้น 1 ศูนย์การค้าสยามพารากอนอย่างเป็นทางการในเมืองไทย นั่นก็เพราะประเทศไทยมีความหมายต่อแบรนด์ของเราเป็นอย่างมาก เพราะเมื่อตอนที่คุณซาโบยังหนุ่มนั้นเขาได้เดินทางบ่อยมากๆ และเมืองไทยก็เป็นหนึ่งในสถานที่โปรดของเขาเลยก็ว่าได้ เขาชอบในเรื่องของวัฒนธรรมความเป็นไทย ทำให้ยังคงเดินทางมาที่นี่บ่อยๆ อย่างน้อยปีละครั้ง มันจึงเป็นแรงบันดาลใจให้เขาอยากเปิดแฟล็กชิปสโตร์ขึ้นที่นี่
ถึงแม้ว่าแบรนด์จะมีจุดเริ่มต้นในแถบยุโรปก็ตาม แต่เราก็คิดว่าพร้อมแล้วที่จะเปิดตลาดและขยายแบรนด์ไปยังทวีปอื่นๆ ดูบ้าง ดังนั้นในเวลา 18 เดือนที่ผ่านมา เราจึงพยายามมุ่งเน้นในการขยายตลาดและการเปิดตัวในประเทศไทย ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งในก้าวแรกของเราในการรุกตลาดเอเชีย เราจึงรู้สึกภูมิใจและเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้มาเปิดร้านอย่างเป็นทางการที่เมืองไทย”
ในฐานะเซลส์ไดเรกเตอร์ในประเทศแถบเอเชียแปซิฟิก เขาคิดว่าความท้าทายสำหรับตัวเขาเองก็คือ การยกระดับแบรนด์โทมัส ซาโบ ให้ก้าวไปอีกขั้น และทำทุกวิถีทางเพื่อให้แบรนด์เติบโตขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงการโปรโมทสินค้าให้เป็นที่รู้จักของลูกค้าในแถบเอเชียภายใน 3-5 ปีข้างหน้าอีกด้วย ซึ่งเขาหวังว่าโทมัส ซาโบ จะสามารถเป็นผู้นำตลาดทางด้านสินค้าเครื่องประดับดีไซน์ใหม่ได้ในเร็ววัน
“อย่างสินค้าในคอลเลกชั่นล่าสุดของ โทมัส ซาโบ เราต้องการที่จะสื่อถึงการผสมผสานของวัฒนธรรมผ่านการใช้ลวดลายต่างๆ ฉะนั้นในคอลเลกชั่นนี้จะเห็นถึงการรวมกันของไอเท็มในโทนสีทั้งอุ่นและเย็น รวมไปถึงเส้นสายเชิงกราฟฟิกที่ตัดกันอย่างลงตัวกับลวดลายโค้งเว้าที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรูปทรงของดอกไม้ ซึ่งคอลเลกชั่นล่าสุดนี้จะสื่อให้เห็นถึงความหลากหลายในตัวแบรนด์และการดึงแรงบันดาลใจต่างๆ มาใช้อย่างเต็มที่
โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่า โทมัส ซาโบ เหมาะสำหรับแฟชั่นนิสต้าเมืองไทยมากทีเดียว เพราะด้วยสภาพอากาศที่อบอ้าวและร้อนซะเป็นส่วนใหญ่ ผู้คนจึงไม่สามารถสวมใส่เสื้อผ้าหลายๆ ชิ้นเพื่อสื่อถึงความเป็นตัวของตัวเองออกมาได้ คงไม่มีใครใส่เสื้อแจ็กเกตหนังมาเดินบนท้องถนนในกรุงเทพฯ หรอกใช่มั้ย (หัวเราะ) คนส่วนใหญ่ถ้าไม่ใส่เสื้อเชิ้ตกับกางเกงขายาว ก็แต่งตัวสบายๆ ด้วยกางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดทั่วไป แต่หากคุณเพิ่มเครื่องประดับเข้าไปในลุคเรียบๆ นั้นสักหน่อย คุณก็สามารถที่จะยกระดับสไตล์ของตัวเองให้เก๋ไก๋ขึ้นมาได้”
ลาร์ส บอกว่า สำหรับในประเทศไทยแล้วเขาหวังว่าแบรนด์โทมัส ซาโบ น่าจะเติบโตและไปได้ดี เพราะจากผลสำรวจที่ผ่านมา ก็ถือว่าได้รับฟีดแบ็กที่ดีในระดับหนึ่งจากบรรดาแฟนคลับของโทมัส ซาโบในเมืองไทย ที่ชื่นชอบสินค้าของแบรนด์อยู่แล้ว จึงทำให้ผู้บริหารมีความมั่นใจมากขึ้นว่าเครื่องประดับคอลเลกชั่นใหม่ๆ ที่เรานำมาเสนอในแฟล็กชิปสโตร์แห่งแรกนี้ จะได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นก็จะสามารถเปิดร้านในทำเลใหม่ๆ ในเมืองไทยเพิ่มขึ้นได้อีกแน่นอน
ก่อนจากกันผู้บริหารหนุ่มหล่อทิ้งท้ายว่า นอกจากทำงานแล้ว ในช่วงเวลาว่างสิ่งที่เขาชอบมากๆ เลยก็คือการเดินทางท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ ทั่วโลก เพราะนอกจากจะได้ไปพักผ่อนเพื่อชาร์จพลังให้กับตัวเองแล้ว ยังได้ไปพบเห็นและเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมของสถานที่นั้นๆ อีกด้วย การเดินทางจึงถือเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างไอเดียและแรงบันดาลใจในชีวิตประจำวันและการทำงานให้กับเขาได้เป็นอย่างดี