โดย...ภาดนุ ภาพ สุนันท์ ล้อสมทรัพย์
สาวเก่งวัย 31 ปี ฝน-ศิรินันท์ ตั้งพินิจกุล ครีเอทีฟมากความสามารถของบริษัท เอสซีจี ปูนซิเมนต์ไทย หลังจากทำงานประจำมาหลายปี ล่าสุดเธอไล่ตามความฝันอีกอย่างของตัวเองจนสำเร็จ ด้วยการเป็นเชฟเบเกอรี่สมใจ
“ที่จริงแล้วฝนหลงใหลในเรื่องศิลปะและการทำขนมมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วค่ะ ฝนมีความฝันที่ชัดเจนอยู่ 2 อย่างว่า ถ้าไม่ทำงานในวงการโฆษณาคือเป็นครีเอทีฟ ก็จะเป็นเชฟเบเกอรี่ให้ได้ หลังจากเรียนจบชั้น ม.ปลาย ฝนก็เลือกเรียนปริญญาตรีด้านครีเอเทีฟ แล้วเรียนต่อปริญญาโทด้านเดียวกันที่ประเทศอังกฤษ ระหว่างอยู่ที่นั่นฝนก็หัดทำขนมอยู่เรื่อยๆ โดยดูจากทีวีบ้าง ยูทูบบ้าง พอจบปริญญาโท ก็กลับมาทำงานที่เมืองไทย โดยทำหน้าที่เป็นครีเอทีฟอยู่ถึง 7 ปี วันหนึ่งพอนั่งทำงานอยู่ก็คิดขึ้นมาว่า ในเมื่อเราชอบทั้งงานครีเอทีฟ ชอบทั้งการทำขนม ทำไมไม่นำสองอย่างนี้มารวมกันล่ะ
เมื่อคิดได้ดังนั้น ฝนจึงลาออกจากงานประจำและไปลงเรียนหลักสูตรทำเบเกอรี่ที่ “เลอ กอร์ดอง เบลอ” วิทยาลัยดุสิตธานี โดยลงหลักสูตรเต็ม 9 เดือน พอเรียนจบฝนก็เป็นผู้ช่วยเชฟที่นั่นอยู่พักใหญ่ จากนั้นจึงออกมาสร้างแบรนด์เบเกอรี่ออนไลน์ของตัวเองที่ชื่อ ‘เบเกอเรทีฟ’ (Bakerative) ขึ้นมา โดยมีคอนเซ็ปต์เป็นศิลปะที่รับประทานได้ ฉะนั้นขนมแต่ละชิ้นจึงเป็นเสมือนงานศิลปะที่สะท้อนเรื่องราวอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทุกเมนูจะมีเรื่องราวและมีที่มาที่ไป”
ฝนบอกว่า เบเกอเรทีฟตอนนี้มีด้วยกัน 15 เมนู โดยจะหมุนเวียนเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ช่วงไหนถ้ามีผลไม้ตามฤดูกาล เธอก็จะนำมาเป็นวัตถุดิบด้วย อย่างช่วงนี้มีมะม่วงเยอะ เธอก็จะทำมูสมะม่วงกินคู่กับทาร์ตตกแต่งด้วยมะม่วงน้ำดอกไม้ ส่วนเมนูอื่นที่ทำก็เช่น คุกกี้แอนด์ครีมชีสเค้ก ซึ่งเป็นเค้กสไตล์ญี่ปุ่นที่เนื้อนุ่มเบา แต่ได้รสชาติเข้มๆ ของคุกกี้แอนด์ครีมมาตัดกัน หรืออีกเมนู คือ “ดาร์กช็อกโกแลตลาเวนเดอร์มูส” ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากภาพวาดที่ชื่อ The Starry Night ของ วินเซนต์ แวนโก๊ะห์ ซึ่งเป็นภาพดวงดาวยามค่ำคืนที่แวนโก๊ะห์ใช้ทุ่งดอกลาเวนเดอร์เป็นสถานที่วาดรูปนี้ เธอจึงทำเป็นเค้กดาร์กช็อกโกแลตเพื่อสื่อถึงท้องฟ้ายามค่ำคืน สลับเลเยอร์กับมูสลาเวนเดอร์ในแต่ละชั้นแทนทุ่งลาเวนเดอร์ เรียกว่าเมนูนี้มาจากแรงบันดาลใจในความรักศิลปะบวกกับความคิดสร้างสรรค์ที่เธอมี
“พูดง่ายๆ คือ เบเกอเรทีฟ เป็นขนมที่มีความหลากหลาย มีทั้งเค้ก ทาร์ต ขนมสไตล์ฝรั่งเศสและญี่ปุ่น ซึ่งฝนพยายามครีเอทขึ้นมาให้เกิดความแตกต่างทั้งในเรื่องของรสชาติและรูปลักษณ์ โดยลูกค้าของเบเกอเรทีฟก็คือคนกลุ่ม B ขึ้นไปจนถึง A ซึ่งจะเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ หรือคนวัยทำงานที่ชอบความแปลกใหม่ ตื่นตาตื่นใจ มีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย พวกเขาจะมองหาขนมซึ่งเป็นของขวัญที่สามารถพูดแทนพวกเขาได้
ฉะนั้นขนมแต่ละชนิดหรือเค้กที่จะนำไปส่งให้กับลูกค้าในวันเกิด หรือวันสำคัญ เราจึงใส่ใจรายละเอียดเลยว่า เค้กชิ้นนี้ต้องใช้เทียนสีอะไรถึงจะเข้ากัน ถ้าลูกค้าต้องการสั่งขนมไปให้ผู้ใหญ่ เราก็จะแนะนำเมนูที่เหมาะสมซึ่งอาจเป็นขนมที่มีผลไม้ หรือถ้าลูกค้าสั่งไปวันสำคัญอื่นๆ เราก็จะถามว่าสั่งให้ผู้หญิงหรือผู้ชาย ถ้าผู้หญิงจะใช้เทียนสีชมพูไหม หรือถ้าเป็นผู้ชายก็จะแนะนำเทียนสีเขียว เป็นต้น”
ฝนบอกว่า นอกจากขนมทั้ง 15 เมนูแล้ว ตอนนี้ยังไม่ได้รับสั่งทำขนมแบบเมด ทู ออร์เดอร์ โดยตรง แต่ยกตัวอย่างว่า ถ้าเมนูนั้นมีส่วนผสมของราสพ์เบอร์รี่ แล้วลูกค้าไม่ชอบ ก็สามารถขอเปลี่ยนเป็นสตรอเบอร์รี่ได้ แต่สูตรทั้งหมดจะไม่ถูกเปลี่ยน เพราะยังต้องการคงเอกลักษณ์ของความเป็นเบเกอเรทีฟเอาไว้นั่นเอง
“หลังจากเปิดขายเบเกอรี่ออนไลน์มาได้ 6 เดือน ก็ได้รับฟีดแบ็กที่ดีมาก เพราะอย่างที่เกริ่นไปแล้วว่า เราใส่ใจรายละเอียดตั้งแต่เริ่มทำขนม ไปจนถึงการส่งขนมให้กับลูกค้าเลยล่ะ พวกเขาจึงสัมผัสได้ บางคนบอกว่าขนมสวยจนไม่กล้ากินเลย ในฐานะคนทำแล้วรู้สึกปลื้มใจนะ สิ่งที่สะท้อนกลับมาอีกอย่างคือ มีกลุ่มลูกค้าประจำที่เคยสั่งซื้อไปแล้ว เริ่มมีการสั่งซ้ำ รวมถึงลูกค้าที่โทรมาแล้วบอกว่าเพื่อนแนะนำ ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้มีเบเกอเรทีฟค่ะ
การเริ่มสร้างธุรกิจใหม่นั้นต้องมีการลงทุน มีการจดทะเบียนการค้าทางออนไลน์ ในอนาคตก็คาดว่าน่าจะมีการขยับขยายช่องทางธุรกิจเพิ่มขึ้น โดยจะมีการดีลกับบริษัทใหญ่ๆ รวมทั้งมีมาร์เก็ตติ้งแพลนไว้ว่า อีกไม่น่าจะเกินครึ่งปี เราน่าจะเข้าสู่ตลาดสแน็กบ็อกซ์ระดับสูงได้ และในอีก 1-3 ปีนับจากนี้ ฝนคิดว่าเบเกอเรทีฟก็น่าจะมีหน้าร้านสาขาแรก และอาจต่อยอดธุรกิจโดยดีลกับสปาหรือร้านอาหารอื่นๆ ด้วยการทำเป็นขนมเมนูซิกเนเจอร์ไปส่งให้ร้านเหล่านี้ด้วย”
ฝนเสริมว่า ด้วยความที่ขนมเป็นทั้งศิลปะและแฟชั่น ดังนั้นขนมทั้ง 15 เมนูของเธอจึงปรับเปลี่ยนวัตถุดิบที่เหมาะสม และมีคุณภาพในแต่ละเมนูไปตามฤดูกาลหมุนเวียนกันไปตามสถานการณ์ หรือกระแสนิยมในช่วงนั้นๆ
“วัตถุดิบที่ฝนเลือกนำมาใช้ทำขนมส่วนใหญ่ 80% เป็นวัตถุดิบที่สั่งมาจากต่างประเทศ เช่น แป้ง เนย ครีม ชีส จากฝรั่งเศส ดอกลาเวนเดอร์และช็อกโกแลตจากเบลเยียม แต่ราคาขนมก็ไม่ได้แพงเกินไป สามารถจับต้องได้ อย่างสโคน 15 ชิ้นจะขาย 490 บาท เค้ก 2 ปอนด์ขาย 1,500 บาท ซึ่งถ้าพูดถึงการตกแต่งที่เราทำให้แล้ว ก็ถือว่าเป็นราคาที่สมเหตุสมผล อ้อ เรื่องรสชาตินั้นอร่อยแน่นอน ถ้าลูกค้าสนใจดูรายละเอียดและราคาของขนมหรือเค้กได้ที่ FB/IG : Bakerative ได้เลยค่ะ
หลักในการทำงานสำหรับฝนแล้วคิดว่าทุกคนมีความฝัน แต่จะต้องค้นหาให้เจอว่าความฝันกับความจริงมันมาบรรจบกันตรงไหน ถ้าเราหาจุดกึ่งกลางของทั้งสองอย่างนี้เจอ เราก็จะมีความสุขกับการทำงานและการใช้ชีวิต อย่างฝนเองก็บรรลุความฝันไปส่วนหนึ่งแล้วคือมีแบรนด์ขนมของตัวเอง แต่ความฝันอีกส่วนหนึ่งที่รออยู่ก็คือการเปิดร้านสาขาแรก ซึ่งตอนนี้เรายังไม่พร้อม ฝนจึงขอมุ่งมั่นกับการทำขนมสวย อร่อย และเน้นคุณภาพให้มากที่สุด เพื่อสร้างฐานลูกค้าและสะสมชื่อเสียงที่ดีไว้ แล้วความฝันอื่นๆ ของเราก็จะสามารถต่อยอดและสานต่อให้เป็นจริงได้แน่นอนค่ะ"
นิโค เมทเทิน เชฟไฟแรงแห่ง ‘เมดิสัน สเต๊กเฮาส์’
วันที่ 03 พ.ย. 2560
เชฟดัง‘ยกครัวค่า10 ล้าน’ปรุงเมนูทรงโปรด ร.9 แจกประชาชนร่วมถวายอาลัยในครั้งสุดท้าย
วันที่ 27 ต.ค. 2560
นิติรัฐ มุละดา เหนื่อยแต่ไม่ท้อ เพราะรักอาชีพนี้
วันที่ 20 ต.ค. 2560
ภาพประทับใจ! "บิ๊กตู่"พบเชฟคนไทยหนึ่งเดียวในทำเนียบขาวของสหรัฐ
วันที่ 04 ต.ค. 2560
นิโคลัส บัสเซ็ท อาหารและดนตรี ความต่างที่ลงตัว
วันที่ 05 ก.ย. 2560