posttoday

พชร วีระพันธ์ เริ่มจากเล็กไปใหญ่

04 เมษายน 2560

ชายหนุ่มวัย 30 ปลายๆ เขาเป็นตัวแทนของนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่สร้างเนื้อสร้างตัวมาด้วยตัวเขาเองด้วยเงินส่วนตัวก้อนเล็กๆ ขณะอายุยังน้อย

โดย...อนุสรา ทองอุไร

ชายหนุ่มวัย 30 ปลายๆ เขาเป็นตัวแทนของนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่สร้างเนื้อสร้างตัวมาด้วยตัวเขาเองด้วยเงินส่วนตัวก้อนเล็กๆ ขณะอายุยังน้อย หรืออาจจะใกล้เคียงคำว่าสตาร์ทอัพของยุคนี้ พชร วีระพันธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอยราวาณิชย์

เขาเล่าย้อนประวัติให้ฟังว่าหลังจากเรียนจบจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ ทางด้านวิศวกรรมโยธา ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ก็มาทำงานตามสายงานที่เรียนมาอยู่ 4-5 ปี ที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์แห่งหนึ่ง ก็รู้สึกเบื่อหน่ายไม่มีความสุขกับงาน และโดยที่ไม่มีแผนการอะไรรองรับเลย เขารู้สึกเบื่อจนทนไม่ไหวก็ลาออกจากงานเลย โดยที่ยังไม่รู้ว่าจะไปทำอะไรต่อไป และมีเงินเก็บอยู่ไม่กี่หมื่นบาท

“เคยรู้สึกไหมว่า อยู่ๆ เราก็เบื่อมากแล้ว จนไม่อยากไปทำงาน การไปทำงานคือความทุกข์ แล้วตอนนั้นไม่มีภาระต้องผ่อนอะไร ผมก็ลาออกทันที หยุดพักจริงๆ เลยอยู่บ้าน 2-3 เดือน พอหายเบื่อก่อนแล้วค่อยคิดว่าจะทำอะไรต่อ แบบว่าไปตายเอาดาบหน้าค่อยว่ากัน นึกย้อนกลับไปก็เออ บ้าบิ่นพอสมควรนะ (หัวเราะ) ตอนนั้นอายุ 27 ปี” เขาเล่าขำๆ

พชร วีระพันธ์ เริ่มจากเล็กไปใหญ่

ออกจากงานได้พักใหญ่ แต่เขาเคยทำงานในสายช่างก็ยังมีคนรู้จัก ก็มีงานเล็กๆ น้อยๆ มีรายได้พอสมควรจากการไปรับตรวจงาน เวลาที่มีคนซื้อบ้านเสร็จแล้วก่อนโอนบ้านจะมีการไปตรวจบ้านก่อนการโอน ซึ่งคนซื้อบ้านจะไม่มีความรู้ว่าบ้านดีไหม ตรงไหนมีปัญหาหรือเปล่า เขาก็จะไปทำหน้าที่ตรวจเช็กแทน ก็จะได้ค่าตรวจหลังละ 5,000-7,000 บาท ก็มีงานเข้ามาตลอดเกือบทุกวัน วันละ 2-3 หลัง ก็อยู่ได้

เขาจึงตั้งบริษัทเล็กๆ ขึ้นมาเพื่อมารับงานตรงนี้ ทำอยู่ปีกว่าก็รู้สึกมันนิ่งไป เนื่องจากเป็นงานที่ต้องไปลงมือทำเอง ให้ลูกน้องไปทำแทนไม่ได้ ถ้าเราไม่ไปเองก็ไม่ได้เงิน ระยะยาวแล้วมันไม่มั่นคง เงินหมุนใช้ไปเรื่อย ไม่มีเงินเหลือเก็บ ทำอยู่ปีกว่าก็ขยายไปทำบริการหลังการขาย บ้านไหนน้ำรั่ว หลังคาเปิด น้ำซึม ก็ส่งช่างไปดูแล รับช่วงมาจากบริษัทใหญ่ๆ 2-3 โครงการที่เขาไม่ทำงานแบบนี้แล้ว ทำอยู่ 2 ปี เริ่มมีเงินเข้าพอสมควร

เขาตั้งบริษัทใหม่อีกครั้งชื่อไอยราวาณิชย์ โชคดีที่มีบริษัทหนึ่งเขาจะให้สร้างโกดังสินค้าขนาดกลางๆ มูลค่า 25 ล้านบาท เป็นงานแรกที่ได้งานใหญ่ระดับนี้ เป็นโกดังสินค้า ลูกค้าที่จ้างก็ใจดีให้เงินมาหมุนก่อนเพราะเขาเองก็ไม่มีทุนมากพอ ใช้เวลาสร้าง 1 ปี จบงานก็เหลือเงินพอสมควร

เขาทำคนเดียวไม่ได้หุ้นกับใคร ลุยเองทุกอย่าง รับสร้างแต่โรงงาน ไม่รับสร้างบ้าน เพราะงานบ้านจุกจิก โรงงานง่ายกว่า สะดวกรวดเร็ว ไม่จุกจิก จุดเด่นของเขาคือการสร้างโรงงานสำเร็จรูป ตอนตั้งบริษัทนี้อายุแค่ 31 ปี เขาไปเป็นตัวแทนจำหน่ายโรงงานสำเร็จรูปจากออสเตรเลียยี่ห้อ Ranbuild สร้างเร็ว ประหยัดเวลา ประหยัดงบประมาณ งบไม่บานปลาย

พชร วีระพันธ์ เริ่มจากเล็กไปใหญ่

ทำอยู่ประมาณ 6 ปี มีงานเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จนมียอดขายปีละเกือบ 50 ล้านบาท ลูกค้าจะอยู่ย่านนิคมอุตสาหกรรมแถวชลบุรีและระยอง โดยอาคารเหล็กสำเร็จรูป Ranbuild นั้นมีจุดเด่นไม่เฉพาะเพียงรูปลักษณ์เท่านั้น แต่ยังสามารถออกแบบให้เหมาะสมกับธุรกิจได้หลากหลาย

นอกจากนี้ ยังผ่านกระบวนการทางวิศวกรรม เพื่อให้มีความทนทานและความแข็งแรงเพิ่มขึ้น คุณสมบัติพิเศษต่างๆ ของอาคารเหล็กสำเร็จรูป คุณภาพสูง อุปกรณ์ที่มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน โครงสร้างที่ไม่ต้องการการดูแลรักษามาก และมีความคุ้มค่าในเรื่องของราคา ระบบโมเดลที่เป็นเอกลักษณ์นั้นจะช่วยให้สามารถเสริมโครงสร้างชุดใหม่ขนาดต่างๆ เข้าไปกับโครงสร้างเดิมได้เพื่อขนาดที่เหมาะสมที่ต้องการ

แต่พอทำไปทำมามันก็เริ่มมีข้อจำกัด คือทำได้เฉพาะโรงงานขนาดเล็กและขนาดกลางเท่านั้น แต่โรงงานขนาดใหญ่ทำไม่ได้ เพราะบางทีลูกค้าต้องการโรงงานขนาดใหญ่เกิน 30 เมตรขึ้นไป โครงสำเร็จรูปใหญ่ไม่พอ

เขาก็เลยพัฒนาสินค้าจากที่มีอยู่แล้วสร้างแบรนด์เป็นของตัวเองชื่อ Easy Build โดยแบรนด์เขาเอง แต่ไปจ้างโรงงานผลิตที่ประเทศจีน ซึ่งมีโนว์ฮาวทางด้านนี้ สามารถทำออกมาใหญ่แค่ไหนก็ได้ ทำจากเหล็กรีดร้อน หลังจากนั้นมาพบว่าที่ประเทศเวียดนามก็มีการรับจ้างผลิตแบบนี้เช่นกัน ใกล้กว่าและถูกกว่า ก็เปลี่ยนมาใช้ซัพพลายเออร์ที่ประเทศเวียดนาม ส่งมาประกอบที่ประเทศไทย ซึ่งก็ไปได้ดีกว่าที่คิดไว้ เพราะบริษัทเขาสามารถรับสร้างโรงงานได้ครบวงจรตั้งแต่ขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ มีอัตราการเติบโตปีละ 20-30% ต่อปี และปีนี้เขาตั้งยอดขายไว้ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท สำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงเทพฯ และมีโรงงานติดตั้งอยู่ที่ จ.ระยอง

พชร วีระพันธ์ เริ่มจากเล็กไปใหญ่

พชร เล่าถึงการทำงานของเขาว่า เขาเริ่มทำธุรกิจจากเล็กๆ และค่อยขยายไปเรื่อยๆ แบบที่เรียกว่านกน้อยทำรังแต่พอตัว ไม่กู้เงินธนาคาร ใช้เงินสดเป็นหลักแล้วขยายไป ไม่ทำอะไรเกินตัว ไม่สร้างหนี้ ช้าๆ แต่มั่นคง เริ่มต้นธุรกิจตอนอายุ 27 ปี ด้วยเงินหลักหมื่น เรียนรู้ทุกอย่างด้วยตัวเองมาเรื่อยๆ จนวันนี้อายุ 38 ปี เขาเริ่มมีความมั่นคงมากขึ้น

“ผมทำงานมาตามขั้นตอน ไม่เคยมีฟลุก ไม่เคยมีโชคช่วย กว่าจะได้งานได้เงินต้องลงทุนลงแรงด้วยตัวเองมาตลอด ไม่มีใครซัพพอร์ต แต่โชคดีว่าที่ทำงานมาแม้จะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่ก็ไม่เคยเจอปัญหาอุปสรรคอะไรหนักๆ จนรับมือไม่ได้ ถือว่าเหนื่อยแต่ก็คุ้ม

วันที่ตัดสินใจลาออกจากงานมาทำของตัวเอง ถือว่าโชคดีที่มีลูกบ้าในวันนั้น เพราะถ้ายังทำงานเป็นลูกจ้างเขาอยู่ผมก็คงไม่รู้จักเงินล้าน คงติดอยู่กับความสบายในกรอบเดิมๆ ออกมาทำเอง ข้อดีคือเหนื่อยมากได้มาก และเราได้เป็นนายตัวเอง ทำให้รวยได้ด้วยตัวเราเอง ไม่ได้ไปทำให้คนอื่นรวยอย่างเดียวแล้วเราจน แต่ความเสี่ยงก็มากกว่าถ้าเกิดพลาดขึ้นมา” เขาเล่าอย่างจริงจัง

สไตล์การทำงานของเขานั้นไม่ชอบทำงานแบบอุ้ยอ้าย บริษัทไม่จำเป็นต้องมีพนักงานเยอะ ชอบเล็กกะทัดรัดตัดสินใจรวดเร็ว มีความคล่องตัว อะไรทำได้ทำเอง ที่เหลือตัดให้ซัพพลายเออร์เขาไม่ต้องแบกต้นทุนที่เป็นคนมาก เวลางานน้อยจะได้ไม่เครียด

พชร วีระพันธ์ เริ่มจากเล็กไปใหญ่

เขาบอกว่าแนวโน้มของธุรกิจนี้ในระยะ 3-4 ปีนี้ยังไปได้ดี เพราะเมื่อปีน้ำท่วมใหญ่โรงงานจากอยุธยา ย้ายมาทางนิคมอุตสาหกรรมภาคตะวันออกกันเยอะ ทำให้บริษัทเขามีงานอย่างต่อเนื่อง โตอย่างน้อย 15-20% ทุกปี บ่อยครั้งที่โรงงานขนาดใหญ่มากๆ เขาก็รับไม่ได้เพราะสร้างให้ไม่ทัน

กลุ่มลูกค้าของเขาจะป็นกลุ่มนักธุรกิจระดับเอสเอ็มอีเป็นหลัก มูลค่าการก่อสร้างโรงงานเขารับได้ตั้งแต่ระดับ 1 ล้านบาท จนถึง 100 ล้านบาท ถ้าใหญ่กว่านั้นเขาจะไม่รับ เพราะต้องใช้เวลาดูแลในการทำงานนานเกินไป

หลักปรัชญาในการทำงานของเขาก็คือทำงานให้เต็มที่ เรียนรู้ใหม่ๆ อยู่เสมอ เทคโนโลยีทางด้านนี้ก็มีเรื่องใหม่ๆ เข้ามาตลอดเวลา ต้องพยายามอัพเดทอยู่เสมอ บริหารจัดการเวลาให้ดี วันทำงานจันทร์-ศุกร์ เขาให้เวลากับงานอย่างเดียว วันหยุดให้เป็นเวลาของครอบครัวอย่างแท้จริง พยายามใช้ชีวิตหลายๆ ด้าน  พยายามไปท่องเที่ยวกับครอบครัวปีละ 1-2 ครั้ง คือ Work hard and play hard

“คือผมเห็นคนรุ่นคุณพ่อคุณแม่เราทำงานจนลูกโต รอให้เป็นคุณตาเป็นคุณยายก่อนถึงค่อยมีเวลาไปเที่ยวถึงตอนนั้นสุขภาพก็ไม่ค่อยดี เที่ยวไม่สนุก ลุกนั่งไม่สบาย ผมก็เลยเริ่มเที่ยวตอนยังมีแรง ถือว่าเงินหามาได้ก็ให้ความสุขกับตัวเองและคนที่เรารักไปพร้อมๆ กัน ทำทุกบทบาทให้เต็มที่ รักษาสมดุลทุกอย่างให้ลงตัว เรื่องงาน เรื่องครอบครัว เรื่องเงิน เรื่องเที่ยว” เขาเล่าด้วยรอยยิ้ม