posttoday

เอมิเลียโน วิกโนนี อัลวาเรลลอส เชฟอาหารสเปนสุดครีเอท

27 มกราคม 2560

เชฟหนุ่มวัย 33 ปี เอมิเลียโน วิกโนนีอัลวาเรลลอส รองหัวหน้าเชฟ (Sous Chef)

โดย...ภาดนุ ภาพ กิจจา อภิชนรจเรข

เชฟหนุ่มวัย 33 ปี เอมิเลียโน วิกโนนีอัลวาเรลลอส รองหัวหน้าเชฟ (Sous Chef) ประจำร้านอาหารสเปน อิสเลโร (Islero) แอททินี ทาวเวอร์ ถนนวิทยุ

“ผมเกิดที่กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา (ปี 1984) ในครอบครัวที่คุณพ่อคุณแม่เป็นนักกฎหมายและนักจิตวิทยา ทว่าพวกท่านก็ไม่ได้คาดหวังให้ผมเจริญรอยตามในสายอาชีพของพวกท่านแต่อย่างใด ตั้งแต่จำความได้ ผมจึงซึมซับรูปแบบของการปรุงอาหารที่ผสมผสานวัฒนธรรมทางรสชาติจากหลายเชื้อชาติเข้าไว้ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก เพราะคุณแม่ของผมมาจากเมืองกาซิเลีย ประเทศสเปน ส่วนครอบครัวคุณพ่อมาจากเมืองแอนโคนาของประเทศอิตาลี ประสบการณ์ด้านอาหารของผมจึงผสมผสานกันระหว่างรสชาติที่มีกลิ่นอายความเป็นสเปน อิตาลี และอาร์เจนตินาไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืน

ผู้ที่เป็นแรงบันดาลใจในการก้าวเข้าสู่เส้นทางการทำอาหารคนแรกของผมก็คือคุณย่า ซึ่งอาศัยอยู่ที่สเปน คุณย่าได้ถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับอาหารสเปนต้นตำรับที่น่าสนใจให้กับผมมาโดยตลอด อีกสิ่งที่ผลักดันให้ผมสนใจการทำอาหารมากยิ่งขึ้นก็คือ การที่ผมได้ช่วยครอบครัวปรุง ‘อาซาโด้’ หรือเนื้อย่างสูตรต้นตำรับของอาร์เจนตินา ที่ทั้งนุ่ม ทั้งหอม และมีรสชาติอร่อยจนเป็นเอกลักษณ์ ควบคู่ไปกับการทำเกษตรกรรมในครัวเรือน ผมจึงซึมซับความชอบในเรื่องอาหารมาตั้งแต่นั้น”

เอมิเลียโน เล่าว่า เขาเริ่มต้นงานด้านการทำอาหารเมื่อ 14 ปีก่อน ในร้านอาหารเล็กๆ ซึ่งในขณะนั้นเขากำลังเรียนทางด้านการจัดการการท่องเที่ยวอยู่ แต่บังเอิญว่ามีโอกาสได้ทำงานเป็นลูกมือในครัว เพราะต้องการหาเงินไปปาร์ตี้กับเพื่อนๆ ในช่วงสุดสัปดาห์ ตั้งแต่นั้นมาเขาจึงชอบการทำอาหารมากขึ้นเรื่อยๆ

เอมิเลียโน วิกโนนี อัลวาเรลลอส เชฟอาหารสเปนสุดครีเอท

 

“ในช่วงเวลาที่ทำงานเป็นลูกมือในครัว ผมเริ่มตระหนักได้ว่า ผมชอบทำงานและชอบใช้ชีวิตอยู่ในครัวมาก ผมจึงตัดสินใจเปลี่ยนโปรแกรม เพื่อไปเข้าเรียนในโรงเรียนสอนทำอาหารที่สถาบัน Argentine Institute of Gastronomy จนกระทั่งเรียนจบ

เหตุผลที่ทำให้ผมตัดสินใจเลือกอาชีพเชฟ เพราะรู้สึกว่าตัวเองเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ ผมจะเป็นตัวของตัวเองเสมอเมื่ออยู่ในครัว เพราะครัวเป็นสถานที่ที่ผมสามารถระบายความรู้สึกนึกคิดผ่านเมนูต่างๆ ออกมาได้ ที่สำคัญการทำครัวมันทำให้ผมมีชีวิตชีวา ดังนั้นสำหรับผมแล้วการเป็นเชฟจึงไม่ใช่การทำงานที่เป็นแค่อาชีพเท่านั้น แต่มันคือส่วนหนึ่งในการใช้ชีวิตของผมด้วย

หลังจากเก็บเกี่ยวประสบการณ์การทำงาน เป็นผู้ช่วยในครัวของร้านอาหารที่อาร์เจนตินาได้ 2-3 ร้าน พออายุครบ 20 ปี ผมได้เดินทางออกจากบ้านเกิด เพื่อไปสมัครเป็นลูกมือฝึกหัดที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในประเทศสเปนในปี 2007

ที่สเปนนี่แหละที่ทำให้ผมได้เริ่มต้นอาชีพเชฟอย่างจริงจัง โดยเริ่มก้าวเข้าสู่แวดวงอาหารชั้นสูงในห้องอาหารชื่อHacienda Benazuza (มิชลินสตาร์ระดับ 2 ดาว) ที่โรงแรม El Bulli ซึ่งเป็นเหมือนใบเบิกทางให้ผมมีโอกาสก้าวไปสู่การเป็นเชฟในแวดวงร้านอาหารชั้นสูง อาทิ Casa Atrio (มิชลินสตาร์ระดับ 2 ดาว) และ Mugaritz (มิชลินสตาร์ระดับ 2 ดาว) ก่อนจะกลับมาทำงานที่ร้าน HaciendaBenazuza ซึ่งอยู่ที่โรงแรม El Bulli อีกครั้งในปี 2009 และก้าวเข้าสู่การเป็นรองหัวหน้าเชฟประจำร้าน (Sous Chef) ในที่สุด”

เอมิเลียโน วิกโนนี อัลวาเรลลอส เชฟอาหารสเปนสุดครีเอท

 

เอมิเลียโน บอกว่า เขาได้รับโอกาสที่ดีอีกครั้งในปี 2010 โดยไปเป็นเชฟให้กับร้าน El Bulli (ชื่อเดียวกับโรงแรมที่เคยทำงาน) ซึ่งเป็นร้านมิชลินสตาร์ระดับ 3 ดาว ที่เปิดใหม่ในเมืองบาร์เซโลนา ซึ่งที่นี่ถือเป็นสถานที่สำคัญที่ทำให้เขาได้รับประสบการณ์อันมีค่าในสายอาชีพเชฟเลยก็ว่าได้ เพราะทำให้เขามีโอกาสได้เรียนรู้เทคนิคในการปรุงอาหารอันสุดยอดจากทั่วทุกมุมโลก จึงเปรียบเสมือนเป็นการจุดประกายศิลปะการปรุงอาหารในตัวเขาให้ตื่นขึ้นมา

“หลังจากเก็บเกี่ยวประสบการณ์นานพอสมควร ในปี 2013 ผมได้ตัดสินใจเดินทางกลับไปเป็น ‘เอ็กเซ็กคิวทีฟเชฟ’ ที่ร้าน Rent-A-Chef ที่กรุงบัวโนสไอเรส ณ บ้านเกิดในอาร์เจนตินาอีกครั้ง แต่หลังจากนั้นในปี 2014 ผมก็ได้เดินทางออกจากอาร์เจนตินา เพื่อไปทำงานที่ห้องอาหารW Verbier ที่สวิตเซอร์แลนด์ ในตำแหน่ง ‘เอ็กเซ็กคิวทีฟ ซูส์ เชฟ’ อยู่เกือบ 2 ปี ก่อนจะมาเป็น ‘ซูส์ เชฟ’ ที่ห้องอาหารอิสเลโรในช่วงปลายปี 2016 จนถึงปัจจุบันนี้

การที่ผมตัดสินใจย้ายมาทำงานที่เมืองไทย เพราะรู้สึกว่าเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ในชีวิต อีกอย่างผมรู้สึกว่ากรุงเทพฯ เป็นเมืองแห่งสีสันที่น่าสนใจ เพราะที่นี่มีตลาดอาหารและวัตถุดิบมากมายที่ให้พลังชีวิตกับผู้คนได้ ผมจึงมั่นใจว่ายังมีโอกาสสำหรับร้านอาหารสเปนในเมืองไทย และเชื่อมั่นว่าผมจะเป็นตัวแทนที่นำเสน่ห์แห่งอาหารสเปนสไตล์โมเดิร์นมายังกรุงเทพฯ ได้ ผมจึงเลือกอิสเลโร เพราะมันจุดประกายให้ผมอยากเข้ามาผสมผสานและนำเสนออาหารที่เปี่ยมด้วยคุณค่า ทั้งยังเป็นอีกก้าวที่สำคัญในการนำวัฒนธรรมของรสชาติแบบสเปนมาสู่ประเทศในแถบเอเชียอีกด้วย”

เชฟเอมิเลียโน ทิ้งท้ายว่า ในหนึ่งสัปดาห์เขาทำงานเกือบทุกวัน ในช่วงที่ได้หยุดพักเวลาส่วนใหญ่ของเขามักจะหมดไปกับงานอดิเรก นั่นก็คือการเดินสำรวจตลาดสดพร้อมกับมองหาวัตถุดิบใหม่ๆ ในสถานที่ต่างๆ ที่เขาได้ไปเยือน อีกหนึ่งสิ่งที่เขาชอบทำในวันว่างก็คือ การไปดูคอนเสิร์ตให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะเขามองว่าการทำงานในครัวก็เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกัน เหมือนกับการเล่นดนตรีเป็นวงนั่นแหละ เมื่อทุกอย่างผสานกันได้อย่างลงตัวสิ่งที่เราทำก็จะออกมาดีด้วยเช่นกัน