posttoday

ตั้งเป้าหมาย แล้วไปให้ถึง นัยธาดา นันทน์วิธู

28 ธันวาคม 2559

หนุ่มนักบริหารวิสัยทัศน์ไกล วัย 29 ปี เคนจิ-นัยธาดา นันทน์วิธู รั้งตำแหน่งกรรมการบริหาร บริษัท ทีมเฟอร์น (ไทยแลนด์)

โดย...ภาดนุ ภาพ... วีรวงศ์ วงศ์ปรีดี

หนุ่มนักบริหารวิสัยทัศน์ไกล วัย 29 ปี เคนจิ-นัยธาดา นันทน์วิธู รั้งตำแหน่งกรรมการบริหาร บริษัท ทีมเฟอร์น (ไทยแลนด์) ซึ่งเป็นเจ้าของเฟอร์นิเจอร์หนังปรับนอนไฮเอนด์แบรนด์ “เซเดอร์เร่” (Zedere) เป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่สร้างและผลักดันให้แบรนด์ไทยก้าวไกลไปสู่อินเตอร์ แถมยังมีมุมมองทางด้านการทำธุรกิจที่น่าสนใจ เราจึงอยากทำความรู้จักกับเขาให้มากขึ้น

“จริงๆ แล้วตอนเด็กๆ ผมเรียนไม่ค่อยเก่งสักเท่าไหร่ แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ชอบมาก นั่นก็คือการทำธุรกิจ ดังนั้นเมื่อเรียนจบไฮสกูลที่แคนาดา ผมจึงตัดสินใจเรียนต่อปริญญาตรีทางด้านบริหารธุรกิจ สาขาการตลาด ที่ Nottingham Trent University ประเทศอังกฤษ เมื่อเรียนจบก็กลับมาเมืองไทย และเริ่มต้นทำงานกับองค์การสหประชาชาติ (UN) ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ระดมทุนของหน่วยงานช่วยเหลือผู้ลี้ภัย เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์อยู่ 1 ปี

หลังจากนั้นจึงเข้าไปช่วยครอบครัวบริหารโรงงานรับผลิตเฟอร์นิเจอร์ให้กับแบรนด์จากต่างประเทศ ซึ่งเป็นธุรกิจที่คุณแม่ผมทำมาร่วม 20 ปีแล้ว โดยช่วงนั้นธุรกิจของเรายังรุ่งเรืองมากๆ แต่พอมาถึงช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มดร็อปลง จีนเริ่มเปิดฐานการผลิตในประเทศมากขึ้น ลูกค้าส่วนใหญ่ซึ่งเป็นแบรนด์ต่างชาติที่เคยจ้างโรงงานเราผลิต ก็หันไปจ้างโรงงานในจีนผลิตแทน เพราะค่าแรงถูกกว่า เมื่อเป็นแบบนี้ผมเลยเข้ามาช่วยคุณแม่และพี่ชายบริหารธุรกิจของครอบครัวอย่างเต็มตัวเลยครับ”

เคนจิ บอกว่า แม้จะทำธุรกิจรับผลิตเฟอร์นิเจอร์หลากหลาย แต่สินค้าที่ทำส่วนใหญ่ก็จะเป็นเก้าอี้ที่ปรับนอนได้ ซึ่งขายในราคาไม่กี่พันบาท เมื่อได้เข้ามาเรียนรู้ระบบอย่างจริงจัง เขาก็รู้สึกว่าสไตล์สินค้าที่ผลิตนั้น ดีไซน์ของมันยังไม่สวยพอ แถมคนที่ซื้อยังบอกอีกว่าสินค้าจากจีนมีราคาที่ถูกกว่า เขาจึงเริ่มคิดใหม่ทำใหม่ ว่าควรทำอย่างไรให้สินค้าที่ตัวเองผลิตนั้นโดนใจคนยุคนี้ให้มากขึ้น

ตั้งเป้าหมาย แล้วไปให้ถึง นัยธาดา นันทน์วิธู

 

“อย่างที่ทราบดีว่า การทำธุรกิจสมัยนี้มีการแข่งขันกันสูงมาก เราจะมาใช้วิธีบริหารหรือผลิตสินค้าในรูปแบบเดิมๆ ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ผมจึงตัดสินใจปรับตัวครั้งใหญ่ โดยเริ่มตั้งแต่การผลิตเลยว่า เมื่อทำออกมาแล้วสินค้าต้องดูดีกว่าเดิม ทั้งเรื่องดีไซน์และคุณภาพ แต่ตอนนั้นก็ยังคิดไม่ออกว่าจะทำยังไง

โชคดีว่าในงานออกบูธโชว์สินค้าครั้งหนึ่งที่ประเทศสิงคโปร์ ผมได้รู้จักกับฝรั่งชาวนอร์เวย์ซึ่งเคยเป็นเจ้าของโรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์ ที่มาเดินดูงานและมาทดลองนั่งเก้าอี้ของเรา และในวันสุดท้ายเขาได้พาครอบครัวซึ่งเป็นคนสูงอายุมาลองนั่งเก้าอี้ที่เรานำไปโชว์ แล้วก็เดินมาพูดกับผมว่า คุณรู้ไหมสินค้าของคุณดีมากเลยนะ แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่ผมอยากแนะนำ นั่นคือเก้าอี้ที่ทำออกมาขาย ไม่ใช่ว่าแค่เจ้าของแบรนด์ชอบดีไซน์แล้วก็ทำออกมาขายแค่นั้น แต่ต้องดูด้วยว่าเวลาที่ลูกค้ามาทดลองนั่ง พวกเขานั่งแล้วรู้สึกสบายด้วยหรือไม่ แล้วต้องฟังฟีดแบ็กจากลูกค้าด้วยว่า เก้าอี้นั้นเป็นอย่างไร ซึ่งหัวใจสำคัญของเก้าอี้ปรับนอนนั้นจะต้องรองรับหลังได้ดี เมื่อได้ยินแบบนี้ผมก็เข้าใจทันที”

ในที่สุดเคนจิก็ตัดสินใจสร้างแบรนด์เซเดอร์เร่ขึ้นมา โดยมีฝรั่งชาวนอร์เวย์ผู้นี้เป็นหนึ่งในหุ้นส่วนหลักของแบรนด์ ซึ่งได้มาช่วยถ่ายทอดเทคนิคและความรู้เกี่ยวกับเก้าอี้ปรับนอนให้กับเขาด้วย

“แบรนด์เซเดอร์เร่ เริ่มต้นผลิตขึ้นเมื่อ 6 ปีที่แล้ว โดยมีหุ้นส่วนรายแรกเป็นฝรั่งชาวออสเตรเลียซึ่งเป็นเพื่อนคุณพ่อ ตามด้วยชาวนอร์เวย์ ชาวสิงคโปร์ และตัวผมเองรวมเป็น 4 หุ้น ซึ่งผมคิดว่าเป็นเหมือนโชคชะตาจัดสรรมาให้เจอกัน เมื่อคุยกันแล้วคลิกเราจึงเริ่มทำธุรกิจด้วยกัน โดยจุดมุ่งหมายสำคัญของเก้าอี้ปรับนอนเซเดอร์เร่ชูจุดขายในเรื่องของการรองรับสรีระ เพราะปัญหาของคนสมัยนี้ ก็คือ การหาเก้าอี้ที่นั่งแล้วสบายได้ยากมาก บางตัวแม้ดีไซน์สวยจริง แต่นั่งไม่สบาย ดังนั้นโจทย์หลักของเราจึงต้องมีดีไซน์ที่ทันสมัย นั่งสบาย และมีนวัตกรรมล้ำๆ เช่น สามารถปรับนอนได้ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง รวมทั้งบางรุ่นยังมีเซ็นเซอร์คอยจับว่าวันนี้คุณเครียดมากน้อยแค่ไหน เก้าอี้ก็จะปรับนอนให้มีองศาที่รองรับความสบายของผู้ใช้ให้มากที่สุด เป็นต้น ทำให้วันนี้เซเดอร์เร่มีเก้าอี้ถึง 23 รูปแบบ ที่สามารถปรับตามสรีระของผู้ใช้ได้แตกต่างกันไป โดยมีทั้งสไตล์โมเดิร์นและเรโทร”

ตั้งเป้าหมาย แล้วไปให้ถึง นัยธาดา นันทน์วิธู

 

เมื่อมีแบรนด์แล้วก็ต้องมีโชว์รูม เคนจิ บอกว่า จุดประสงค์ที่เขาตกแต่งโชว์รูมเซเดอร์เร่ที่เมกาบางนาให้เป็นสไตล์ลอฟต์ ก็เพราะว่าเวลาที่นำเก้าอี้หรือโซฟาสไตล์โมเดิร์นหรือเรโทรไปวางในบ้านหรือ
คอนโดที่เรียบง่ายอย่างสไตล์ลอฟต์ ยังไงลูกค้าก็สามารถจัดวางออกมาให้ดูเข้ากันได้ ซึ่งวัสดุหนังที่เลือกมาใช้ทำเก้าอี้ มีทั้งสีอ่อนๆ สไตล์โมเดิร์น เช่น สีเบจ สีเทา หรือสีเข้มๆ สไตล์เรโทรอย่างสีแดงเข้ม และอื่นๆ ให้เลือกมากมาย

“การเปิดตัวแบรนด์ระยะแรกๆ ก็มีอุปสรรคเหมือนกันครับ เนื่องจากเราเป็นโรงงานที่รับผลิตเก้าอี้ให้แบรนด์ต่างๆ มาก่อน เมื่อเราลุกขึ้นมาทำแบรนด์ของตัวเอง ลูกค้าส่วนใหญ่ก็อาจจะยังไม่ค่อยเชื่อถือสินค้า ‘เมด อิน ไทยแลนด์’ ของเรามากนัก เราจึงต้องทำการตลาดทุกวิถีทาง เช่น ถ้าลูกค้านำแบรนด์ของเราไปวางขายในโชว์รูมประเทศเขา เราจะจัดพร็อพให้หมดทั้งพรม โต๊ะหน้าเก้าอี้ โต๊ะหน้าโซฟาแบบครบชุดเลย โดยจัดมูดแอนด์โทนในแนวเดียวกัน ไม่ว่าลูกค้าจะไปเห็นโชว์รูมที่จีน เกาหลี ญี่ปุ่น ยุโรป หรืออเมริกา คอนเซ็ปต์ของแบรนด์ก็จะเป็นธีมเดียวกันหมด เรียกว่าเราทำการตลาดและทำแอดโฆษณาให้พร้อมเลยล่ะ”

เคนจิ บอกว่า ด้วยการวางโพสิชั่นสินค้าให้เป็นเก้าอี้ไฮเอนด์ ดังนั้นราคาจึงสูงไปตามรูปแบบและความเนี้ยบของดีไซน์ วัสดุหนังที่ใช้ ฝีมือการตัดเย็บที่ประณีต และฟังก์ชั่นการใช้งานที่ล้ำสมัยไปด้วย ปัจจุบันลูกค้าต่างชาติก็เริ่มยอมรับในตัวของแบรนด์มากขึ้นเรื่อยๆ

“แม้ช่วงนี้เศรษฐกิจจะไม่ดีนัก แต่แบรนด์ของเรากลับมีลูกค้ามากขึ้น เนื่องจากยุคนี้คนหันมาใส่ใจในเรื่องสุขภาพกันมากขึ้นด้วย เก้าอี้ของเราจึงตอบโจทย์ได้ดี หลายประเทศเริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ แล้วบ้านของคนยุคใหม่ก็เริ่มเล็กลง คนโสดก็ไม่ต้องการเก้าอี้หรือโซฟาที่ใหญ่มากนัก จึงเป็นผลดีกับแบรนด์ของเราที่ตอบโจทย์ทุกอย่างได้ลงตัว

ตั้งเป้าหมาย แล้วไปให้ถึง นัยธาดา นันทน์วิธู

 

ตั้งแต่เปิดตัวมาเซเดอร์เร่มีเก้าอี้และโซฟาที่เป็นซีรี่ส์ออกมา 5 คอลเลกชั่นแล้ว โดยเฉพาะสรี (Sari) ซึ่งย่อมาจากสรีระ จะเป็นคอลเลกชั่นที่ขายดีที่สุด ในอนาคตเราก็จะพัฒนาทั้งด้านดีไซน์และฟังก์ชั่นล้ำๆ ในการใช้งานเพิ่มขึ้นอีกแน่นอน โดยรับฟังฟีดแบ็กจากลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ ทำให้ตอนนี้แบรนด์เซเดอร์เร่เป็นเฟอร์นิเจอร์หนังที่ติดอันดับ 5 ของโลกไปแล้วครับ”

สำหรับโชว์รูมในเมืองไทย เคนจิ บอกว่า ในอนาคตอยากจะขยายสาขาเพิ่มขึ้น แต่ติดตรงที่หาพื้นที่ขนาดใหญ่ 50 ตร.ม. แบบสาขาแรกนี้ยังไม่ได้ สาขาแรกนี้ในโชว์รูมยังมีธุรกิจร้านกาแฟสไตล์ลอฟต์พ่วงอยู่ด้วย ถ้าเปิดโชว์รูมสาขาอื่น เขาก็อยากจะพ่วงธุรกิจร้านบิสโทรที่มีอาหารกินง่ายๆ ไว้บริการลูกค้าด้วย

นอกจากคิดจะขยายสาขาแล้ว ตอนนี้เขายังทำธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องเขียน กระเป๋า รองเท้า นาฬิกา โดยนำวัสดุหนังที่เหลือจากการผลิตเก้าอี้มาใช้ รวมทั้งอยากเปิดสปาซึ่งสามารถลิงค์กับธุรกิจเก้าอี้ของเขาได้

“สำหรับโชว์รูมในต่างประเทศ ตอนนี้เซเดอร์เร่เปิดโชว์รูมที่สิงคโปร์ 1 แห่ง และเปิดที่จีนอีก 11 แห่ง ภายในปีเดียว ซึ่งพื้นที่อาจจะไม่ใหญ่เท่าที่เมืองไทย แต่กระแสตอบรับและกำลังซื้อของคนจีนเยอะมาก เนื่องจากมีเศรษฐีใหม่เกิดขึ้นเยอะ พวกเขามีรสนิยมชอบของแพงและคุณภาพดี ซึ่งก็เป็นผลดีต่อแบรนด์ของเราอย่างมาก นอกจากมาชมสินค้าได้ที่โชว์รูมเซเดอร์เร่ เมกาบางนาแล้ว ผู้ที่สนใจยังสามารถอัพเดทได้ที่เพจ FB : Zedere Thailand และ IG : zedere.furniture เลยครับ”

จากที่พูดคุยกันมา ดูเหมือนว่าเคนจิจะทำงานเกือบทุกวัน จนแทบจะไม่มีเวลาว่างเลยล่ะ…“ทุกวันนี้ผมทำงานตั้งแต่เช้าจรดเย็น ถ้าวันไหนว่างจริงๆ ก็จะออกกำลังกายด้วยการต่อยมวยที่ฟิตเนสบ้าง หรืออ่านหนังสือเกี่ยวกับธุรกิจบ้าง และตอนนี้ผมก็กำลังสนใจศึกษาศาสตร์ทางด้านการดูฮวงจุ้ยด้วยครับ อาจเพราะเป็นคนไทยเชื้อสายจีน ผมจึงชอบและอินในเรื่องศาสตร์เกี่ยวกับฮวงจุ้ยเป็นพิเศษ เพราะบางครั้งมันสามารถนำมาใช้กับลูกค้าหรือคนที่เราจะร่วมธุรกิจด้วยเช่นกัน”