รมิดา วีรเตชานนท์ เขาว่าเธอคือสาวในอุดมคติ
เธอเป็นหญิงสาวที่เป็นหนึ่งในสี่คนสุดท้ายในรายการเรียลิตี้ The Bachelor Thailand ศึกรักสละโสด
โดย...กองทรัพย์ ภาพ... เสกสรร โรจนเมธากุล
เธอเป็นหญิงสาวที่เป็นหนึ่งในสี่คนสุดท้ายในรายการเรียลิตี้ The Bachelor Thailand ศึกรักสละโสด หลายคนมองว่า ด้วยการวางตัวและตัวตนของเธอที่ไม่หวือหวาจนเกินงาม ดูเป็นผู้ใหญ่ ขณะเดียวกันก็มีมุมน่ารักหลากหลายมุม ทำให้สาวๆ ที่ติดตามชมรายการนี้เชียร์เธอกับหนุ่มโสดด้วยเหตุผลความเหมาะสม ขณะที่หนุ่มๆ ต่างบอกว่า นี่แหละแม่ของลูก มีการแบ่งทีมเชียร์สาวๆ ชัดเจน แต่ในที่สุดก็ถึงวันที่เธอไม่ได้รับเลือกให้เป็นสองคนสุดท้าย ด้วยเหตุผลที่แม้จะเป็นคนดีแต่ยังไม่ใช่ วันนั้นเธอมีน้ำตา แต่เราพบเธออีกครั้งในวันที่เธอมีรอยยิ้มพร้อมกับหัวใจสีชมพูที่เปิดรับรักครั้งใหม่ ซึ่งพร้อมให้หลายๆ คนรู้จักตัวตนของเธอมากขึ้น หมอเบลล์-พญ.รมิดา วีรเตชานนท์ ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณและความงาม
เด็กเนิร์ดเพื่อนน้อย
สาวหมวยผมยาวยิ้มหวาน เล่าให้ฟังว่า เป้าหมายตอนเด็กๆ ของเธอมีอยู่สองอย่างคือเรียนหมอ หรือไม่ก็มัณฑนากร เหตุผลของเธอคืออยากให้แม่สบาย
“หลายคนเห็นเบลล์แบบนี้เข้าใจว่าเราฐานะดี เป็นลูกคุณหนู แต่จริงๆ แล้วตอนเด็กๆ เบลล์ไม่ได้สบายขนาดนั้น เพราะคุณแม่ดูแลลูก 3 คนโดยลำพัง เพราะฉะนั้นเราจะไม่มีของเล่นเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ ถ้าเบลล์อยากเล่นแต่งตัวตุ๊กตาก็ต้องวาดในกระดาษเอง แล้วก็เล่นคนเดียว ชอบตัดรูปบ้านสวยๆ มาติดในสมุด แล้วก็ชอบเอามาเปิดดู เราคิดว่าอยากแต่งบ้านแบบนี้ๆ
นอกจากตุ๊กตากระดาษที่วาดเองเป็นเพื่อน ของเล่นแสนวิเศษของเธอคือหนังสือที่ได้รับใหม่ก่อนเปิดเทอม ซึ่งของเล่นของเธอก็ส่งให้เธอเข้าเรียนแพทย์ที่คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล “เบลล์เนิร์ดมากเลยนะ (หัวเราะ) เวลาที่ได้หนังสือเรียนเทอมใหม่มา เบลล์ก็จะเอามานั่งอ่าน คงเป็นเพราะว่าเราไม่มีของเล่นเยอะมั้งเลยชอบอ่านหนังสือมาก เบลล์จะอ่านหนังสือทุกเล่มจบก่อนจะเปิดเทอมซะอีก (ยิ้ม) เป็นแบบนี้ตั้งแต่เด็กๆ เลย พอจะสอบเรียนต่อ คิดว่าถ้าเราจะสอบเข้าเรียนสถาปัตย์คงจะสู้คนอื่นไม่ได้ เพราะเราไม่ได้เรียนติว ก็เลยเลือกเรียนหมอ ซึ่งเป็นเป้าหมายของเรา”
ระหว่างเรียนหมอ เธอไม่ได้เนิร์ดไปวันๆ ด้วยการก้มหน้าก้มตาเรียนอย่างเดียว เพราะสิ่งที่เธอชื่นชอบพอๆ กับอ่านหนังสือก็คือขายของ “ตอนเด็กๆ เราทำงานเยอะ เพราะแม่ทำร้านตัดเสื้อ ทำร้านเสริมสวย เบลล์จะช่วยแม่ทำงาน แล้วก็หาของมาขาย ตอนเรียนหมออยู่ใกล้วังหลัง เราก็ไปสำเพ็งซื้อของกระจุกกระจิกมายืนขายวันหยุด ไปแบบไม่มีเพื่อนด้วย (หัวเราะ) หลายคนมาเห็นก็มีตกใจ ที่เราทำเพราะไม่อยากให้แม่ลำบากมาก เบลล์เลยทำเรื่องขอทุนเรียนด้วย ทำงานพิเศษด้วย หารายได้จากหลายๆ ทาง”
หลังจากเรียนจบแพทย์ เธอต้องไปใช้ทุนที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี เป็นเวลา 3 ปี ซึ่งเป็นเวลานานพอที่จะทำให้เธอตั้งคำถามและตกผลึกความคิด และมองหาเส้นทางของตัวเอง “เบลล์ไปใช้ทุนที่ จ.อุบลฯ ซึ่งไปแบบไม่มีเพื่อนเลย ไปเรียนรู้หลายๆ อย่างที่นั่น ทั้งภาษาอีสานที่เราไม่คุ้นเคยเลย และด้วยความเนิร์ดเราก็บันทึกคำศัพท์ภาษาอีสานที่ลึกมากๆ รวมเป็นเล่มๆ ส่งต่อให้รุ่นน้องที่ไปอยู่อุบลฯ ต่อจากเรา เบลล์ไปตกหลุมรักอาหารอีสาน ซึ่งปกติเป็นคนชอบอาหารอีสานอยู่แล้ว และตกผลึกว่าเราเลือกจะเป็นอะไรต่อไป”
นอกกรอบซะบ้าง
การไปอยู่ที่อีสานนาน 3 ปี ทำให้เธอคิดว่าสุขภาพตัวเอง การมีชีวิตอยู่เพื่อดูแลคนที่เธอรักคืออีกหน้าที่ที่ต้องทำ หมอเบลล์เดินออกจากโรงพยาบาล มาศึกษาต่อด้านผิวพรรณและความงาม ทำงานเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในคลินิกด้านความงาม ก่อนที่จะตัดสินใจเปิดคลินิกของตัวเอง รมิดาคลินิก “เบลล์ใช้พื้นที่ร้านตัดเสื้อเก่าของแม่มาทำให้เป็นที่ทำงานของเรา ตัดสินใจทำคนเดียวเพราะไม่อยากมีปัญหา เบลล์ดูแลเองทั้งหมดตั้งแต่ดูแลคนไข้ บริหารจัดการ การเงิน บัญชี ตอนนี้ก็เข้าปีที่ 3 แล้ว ซึ่งผลตอบรับดีขึ้นเรื่อยๆ เบลล์มองว่าการออกมาทำคลินิกของตัวเอง เราบริหารจัดการได้ และรู้สึกอิ่มตัวกับงานในโรงพยาบาลแล้วในเวลา 3 ปีที่เราไปอยู่อุบลฯ ร่างกายเราทรุดโทรมเพราะโหมงานหนักเกินไปในช่วง 3 ปีนั้น ทำให้เบลล์ย้อนกลับมาคิดว่า ยังไม่ได้ดูแลครอบครัวเราเท่าที่ควร เลยคิดว่ามีคลินิกของตัวเองน่าจะดีกว่า จากนั้นก็เริ่มศึกษาเรื่องผิวพรรณและความงาม ไปทำงานเป็นหมอในคลินิก และเรียนเพิ่มเติมจากประเทศเกาหลีรวมๆ แล้วประมาณ 2 ปี แล้วจึงมาเปิดคลินิกของตัวเอง”
และเหตุการณ์ที่ทำให้เธอกลายเป็นที่รู้จักในชั่วข้ามคืน คือการตัดสินใจสมัครเข้าร่วมรายการเรียลิตี้ “เพื่อนส่งต่อใบสมัครมาให้ เราคิดว่าน่าจะลองดู เปิดประสบการณ์ใหม่ด้วยการพาตัวเองออกจากกรอบเดิมๆ ตอนแรกคิดว่าเราอาจจะไม่ได้รับเลือกด้วยซ้ำ เพราะเราดูนิ่งๆ แต่พอได้รับคัดเลือกให้เป็น 22 คนสุดท้าย ถ่ายรายการติดต่อกันนาน 1 เดือน เราก็ต้องบอกคนไข้ว่า ขอลาไปจัดการธุระ (ยิ้ม) ซึ่งพอรายการออกอากาศก็ไม่คิดว่าจะมีคนติดตามและเชียร์เราเยอะขนาดนี้ บางคนกลายเป็นคนไข้ บางคนนั่งรถมาหาเราจากต่างจังหวัดก็มี จากชานเมืองก็ขับรถมาหาหมอ พูดเลยว่ารายการนี้ทำให้เบลล์ได้รับสิ่งดีๆ มากมายเหมือนกันค่ะ
“การเข้าร่วมรายการนอกจากจะทำให้เบลล์รู้ว่าเราสามารถเป็นเพื่อนกับเด็กๆ ได้ ยังพบว่า จริงๆ แล้วเราไม่ได้เป็นคนนิ่งขนาดนั้น การออกมาเจอผู้คนใหม่ๆ ทำให้เราเองก็ค้นพบมุมใหม่ๆ ของตัวเองที่เราไม่เคยคิดว่าจะเป็น” เราถามต่อว่าสิ่งที่ผู้ชมได้เห็นเป็นหมอเบลล์กี่เปอร์เซ็นต์ เธอบอกว่า “เบลล์ว่าร้อยเปอร์เซ็นต์เลยนะคะ ตามที่เห็นเลย ซึ่งเราก็ไม่คิดว่าการที่เราเป็นแบบนี้จะมีคนชอบ มีคนเชียร์ แม้แต่คุณแม่ (หัวเราะ) แต่สุดท้ายเบลล์ว่าเรื่องของการเปิดใจรับใครสักคนมารักและดูแลเรา ต้องใช้ทั้งสมองและหัวใจไปพร้อมๆ กัน ต้องบาลานซ์ทั้งสองอย่างให้อยู่ในระดับที่ไม่มากไปไม่น้อยไป”
หลังจากถ่ายรายการเสร็จช่วงเดือน ก.ค. จากนั้นไม่นานเธอก็มีโอกาสได้รู้จักกับบี (ธนวัฒน์ ณ หนองคาย) เจ้าของร้านยอดลาบเป็ดอุดร และร้านอาหารอีกหลายร้านในย่านพระราม 9 “อาจจะเป็นช่วงขาขึ้นของเรื่องความรัก ออกจากบ้านมาไม่นานก็ได้ศึกษากัน ซึ่งเบลล์ว่ากับพี่บีเป็นคนที่สมดุลกับเรา”
สวยแบบเป็นตัวเอง
ในฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณและความงาม หมอเบลล์ย่อมมีโอกาสได้เห็นหญิงสาวหลากหลายรูปแบบ อยากสวยและไขว่คว้าสิ่งที่ไม่เหมาะกับตัวเอง เธอบอกว่าปัจจุบันมีคนไม่น้อยที่บอกว่าเห็นเธอเป็นต้นแบบ หรือการบอกว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ดี เป็นสาวในอุดมคติ เธอก็สะท้อนมุมมองความงามในแบบของเธอว่า “ในรายการเราก็จะเห็นว่ามีสาวๆ หลายบุคลิก หลายรูปแบบนะคะ เบลล์อาจจะเป็นตัวแทนของสาวๆ ส่วนหนึ่งที่ไม่เหนียมแต่ไม่เข้าหาผู้ชายหวือหวาเท่าไหร่ คนดูก็คงชอบผู้หญิงกลางๆ
“สำหรับเบลล์ความสวยของผู้หญิงมีหลายแบบ ทุกคนสามารถสวยในแบบของตัวเองได้ ตัวเบลล์เองก็ไม่ได้สวยจัดอะไร แต่รู้ว่าตัวเองมีจุดเด่นตรงไหน เราก็พรีเซนต์จุดเด่นของเราออกมา เช่น เบลล์รู้สึกว่าเรายิ้มแล้วดี ก็ยิ้มบ่อยๆ คนอยู่ด้วยก็สบายใจ และบุคลิกภาพของเราก็ดี เราไม่จำเป็นต้องสวยตามคนอื่น ไม่อย่างนั้นเราจะไม่แตกต่างกัน ซึ่งการเพิ่มเสน่ห์ให้ตัวเองอีกอย่างหนึ่งก็คือการอัพเดทความรู้เพิ่มเติม งานของเบลล์จำเป็นต้องอัพเดทนวัตกรรม และการรักษาคนไข้แบบใหม่ๆ นั่นก็หนึ่งอย่าง
“ส่วนการสร้างคุณค่าให้ตัวเองของผู้หญิงแต่ละคน เบลล์ว่าต้องหาจุดเด่นของตัวเองให้เจอ บางคนรูปลักษณ์อาจไม่โดดเด่น แต่บุคลิก น้ำเสียง รอยยิ้ม ก็สร้างเสน่ห์ให้เราได้ ไม่จำเป็นต้องหน้าบล็อกเดียวกัน มีจมูกสวยๆ เหมือนดารา แต่เราควรทำให้จุดเด่นที่เรามีดียิ่งขึ้น พอใจตัวเองในแบบที่เรามีแล้วคนอื่นก็จะมองเห็น” เบลล์ เชื่ออย่างนั้น