posttoday

คงเกียรติ ฉัตรหิรัญทรัพย์ จากเภสัชกรสู่นักพูดสร้างแรงบันดาลใจ

17 พฤศจิกายน 2559

คนเราบ่อยครั้งที่สิ่งที่เรียนกับสิ่งที่ชอบมันเดินสวนทางกัน เรียนมาอย่างหนึ่งแต่อยากไปทำงานอีกอย่างหนึ่ง

โดย...อณุสรา ทองอุไร ภาพ... ประกฤษณ์ จันทะวงษ์

คนเราบ่อยครั้งที่สิ่งที่เรียนกับสิ่งที่ชอบมันเดินสวนทางกัน เรียนมาอย่างหนึ่งแต่อยากไปทำงานอีกอย่างหนึ่ง ถามว่าแล้วทำไมไม่เรียนในสิ่งที่ชอบเสียเลยตั้งแต่ตอนแรก อ้าวก็สิ่งที่เคยคิดว่าใช่มันเกิดไม่ใช่ขึ้นมา จะทนกล้ำกลืนฝืนใจทำต่อไปให้ใจเป็นทุกข์อยู่ทำไม ในเมื่อค้นพบเส้นทางใหม่ที่ใช่และถูกใจกว่าเดิมก็ยูเทิร์นกลับหลังหันไปให้ไวเลย

เขาคนนี้ก็เช่นกัน ที่ค้นพบเส้นทางใหม่ที่ใช่กว่าเดิม เขาก็ไม่รีรอให้เสียเวลา เภสัชกร คงเกียรติ ฉัตรหิรัญทรัพย์ ผู้ก่อตั้งสถาบันฝึกอบรม Beyond Training เขาเล่าย้อนถึงจุดเริ่มต้นให้ฟังว่าที่บ้านทำร้านขายยา วิ่งเล่นในร้านมาตั้งแต่เด็ก เห็นแม่ทำงานที่ร้านก็ดูชิลๆสบายๆ งั้นเรียนเภสัชก็แล้วกันจะได้มาทำงานของที่บ้าน ก็เลยเลือกเรียนที่คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต โดยเขาได้ทุนพระราชทานจากสมเด็จย่า

หลังจากเรียนจบเขาก็ทำงานตามสายที่ได้ร่ำเรียนมาด้วยการเป็นเซลส์ให้กับบริษัทยายักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง ทำอยู่ได้ 5 ปี ก็ได้เป็นเซลส์แมเนเจอร์ คอยดูแลผู้แทนการขาย นอกจากนี้ เขายังจะคอยเป็นเทรนเนอร์ให้กับเซลส์ขายยารุ่นน้อง ในการไปเปิดการขายให้กับร้านขายยาต่างๆ

จากจุดนี้นี่เองที่เขาเพิ่งค้นพบจากภายในตัวเองว่า เขาชอบพูดชอบสอน ชอบการสื่อสาร ชอบเป็นวิทยากร ชอบให้ข้อมูล ชอบทำการอบรม ไม่ได้ชอบการเป็นตัวแทนการขายยาอย่างที่คิดไว้

“ณ จุดนี้ผมก็หาข้อมูลทำการบ้าน ไม่ใช่เรื่องการขายยานะ แต่เป็นการค้นคว้าข้อมูลเรื่องการพูด เทคนิคการสอนการสื่อสาร การยืนหน้าเวทีต่อคนเยอะๆ ต้องมีปฏิกิริยาอย่างไร ท่าทีท่วงท่า การมองการสบตาเขาสนุกกับการอบรมตรงนี้ และพบว่าระหว่างที่เขาอบรมให้กับคนฟังนั้นทุกคนจะสนุกสนานเฮฮา เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว และหลายคนมักจะเรียกร้องให้เขาเป็นผู้อบรมเสมอ” เขากล่าวอย่างมีความสุข

หลังจากที่เขาได้ค้นพบความสามารถและความสุขจากการเป็นวิทยากรการฝึกสอนแล้ว เขายังคงทำงานต่อไปอีก 3 ปี พร้อมฝึกปรือและไปอบรมเรื่องการพูดจากสถาบันต่างๆ อยู่เสมอ แต่แล้วบังเอิญไปทราบว่าวิทยากรจากข้างนอกที่บริษัทจ้างมานั้นมีค่าตัวในการพูดสูงถึงวันละ 4-5 หมื่นบาท ทำให้เขาเกิดแรงบันดาลใจว่า ถ้าอย่างนั้นเขาสามารถออกไปเป็นวิทยากรนักพูดได้สิ มันน่าจะประกอบเป็นอาชีพได้ เลี้ยงตัวเองได้อย่างดีแน่นอนเลย

ตอนนั้นเขาก็คิดแบบคนธรรมดาที่อยากสร้างฐานะให้กับครอบครัว ในฐานะลูกชายคนโตเขาก็อยากให้แม่สบาย เนื่องจากที่บ้านก็ไม่ได้ทำธุรกิจใหญ่โตอะไรมากนัก พ่อแม่จะสบายกว่าที่เป็นอยู่ก็คงยาก

เขาจึงตัดสินใจกล้าที่จะเปลี่ยนสายงาน เพราะหากเป็นตัวแทนจำหน่ายยาก็คงจะดีได้ประมาณหนึ่ง แต่ความสุขความอิ่มเอมใจจากงานที่รักคงไม่มากพอที่จะเติมเต็มความฝันของเขาได้ เขาลองทบทวนตัวเองและไปทดลองวิจัยว่า คนในแบบเขาควรจะทำงานอะไรที่เหมาะกับชีวิต ได้ทั้งเงินและความสุขใจไปพร้อมกัน

ผลการวิจัยบอกว่าเขาเหมาะกับการเป็นนักการสื่อสาร โดยเขาไปเข้าอบรมเรียนทางด้านโค้ชและการเป็นวิทยากรมืออาชีพเรียนรู้ให้เข้มข้น รู้ลึกรู้จริงมากยิ่งขึ้น เรียนกับหลายหลักสูตร ลงทุนเรื่องค่าเรียนไปหลายแสนบาท จากนั้นเขาก็ได้ทำงานให้กับบริษัทที่ปรึกษาที่จัดสัมมนาในด้านพัฒนาตัวเอง ซึ่งเป็นหลักสูตรที่มาจากต่างประเทศ

“ตอนนั้นอายุ 28 ปี ไปทำงานฝึกปรืออยู่ 2 ปี มีปัญหาคือเราดูเด็กเกินไป ดูไม่มีวิทยฐานะ เพราะนักพูดส่วนใหญ่จะอายุเยอะ มีประสบการณ์มากมาย ดูน่าเชื่อถือ ทำให้ค่าตัวจะต่ำกว่าของคนอื่น เพราะถือว่าประสบการณ์ยังน้อย รายได้จึงไม่เป็นไปอย่างที่คิด รายได้หายไปครึ่งหนึ่ง”

คงเกียรติ ฉัตรหิรัญทรัพย์ จากเภสัชกรสู่นักพูดสร้างแรงบันดาลใจ

 

แต่เขาไม่ย่อท้อหมดกำลังใจ ยังทำงานอย่างแข็งขัน ใครเชิญไปพูดที่ไหนไปหมดแม้ค่าตัวจะน้อย หรือแม้กระทั่งพูดฟรีเขาก็ไปเพื่อเป็นการเก็บแต้มประสบการณ์ การฝึกปรือกว่า 3 ปีของเขาไม่เสียเปล่า เขาเรียนรู้ว่าวิทยากรทั่วไปในการขึ้นพูดจะสนใจในเรื่องเนื้อหาเป็นหลัก แต่เขาโฟกัสเรื่องภาษาร่างกาย การมีส่วนร่วมของผู้เข้าอบรม ดูบรรยากาศรอบตัว ให้คนฟังสนุกและได้ความรู้ไปพร้อมกัน มีฟิลลิ่งร่วมกัน ไม่ใช่เน้นแต่เนื้อหาจนลืมคนฟังให้มีส่วนร่วมกัน เป็นเอ็ดดูเทนเมนต์ในการอบรม มีการแบ่งปันแลกเปลี่ยนประสบการณ์ให้คนฟังเปิดรับ เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน

ในที่สุดสิ่งที่เขาบ่มเพาะก็เติบโตเป็นรูปเป็นร่าง เขาประสบความสำเร็จในอาชีพใหม่ที่เลือกด้วยใจรัก เขาสามารถเป็นวิทยากรมืออาชีพระดับประเทศ  ที่สามารถแบ่งปันความรู้ แรงบันดาลใจต่อหน้าคนหลักพันคน และปัจจุบันยังเป็นนักจัดอีเวนต์ สัมมนา (Seminar Producer & Promoter) แถวหน้าคนหนึ่งแห่งวงการสัมมนาเมืองไทย ที่จัดอีเวนต์สัมมนาใหญ่ๆ มาแล้ว 8 สัมมนา ในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา สร้างคุณค่า ส่งมอบความรู้ ให้กับคนไทยเกือบ 1 หมื่นคน

จากจุดเริ่มต้นของคนที่กล้าจะฝัน จากคนชนชั้นกลางที่มีฝัน อยากมีชีวิตที่ดีขึ้น เพื่อตอบแทนพระคุณคนที่รัก-ครอบครัว เขาจึงกล้าเปลี่ยนแปลงตัวเอง จากเด็กที่เรียนปานกลาง จนได้รับคัดเลือกเป็นนักศึกษาทุนพระราชทานในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี

ในการศึกษาวิชาชีพเภสัช กล้าที่จะเลือกและลงมือทำในสิ่งที่ตนรัก เปลี่ยนจากเภสัชกรที่เป็นดาวรุ่งในบริษัทยายักษ์ใหญ่ของโลก ตัดสินใจก้าวสู่การทำในสิ่งที่รัก ด้วยการเป็นวิทยากรอาชีพตั้งแต่อายุ 28 ปี 

การที่เขามาถึงวันนี้ได้เพราะกล้าฝัน กล้าเปลี่ยนเส้นทางอันเคยชินได้ดี เพราะใฝ่เรียนรู้สอบถาม ครูพักลักจำ มุ่งมั่นฝึกตน จนทำได้ดี แม้ค้นเจอว่ารักการสอน การถ่ายทอด ฝึกฝนอย่างต่อเนื่องมากกว่า 8 ปี ในการฝึกทักษะการสื่อสารการถ่ายทอดในที่ชุมชน จนกลายเป็นวิทยากร นักพูดสร้างแรงบันดาลใจแถวหน้าของเมืองไทย เพราะกล้าเผชิญหน้ากับปัญหา อุปสรรค ลงมือทำจนฝันเป็นจริง

จากคนธรรมดา สร้างตนสร้างความมั่งคั่งด้วยตัวเอง เป็นคนที่พลิกชีวิตจากติดลบให้มั่งคั่ง มีกินมีใช้ จากคนที่มีการเงินติดลบ เปลี่ยนแปลงตัวเอง นำคำสอนของครู อาจารย์ มาปรับใช้ ทั้งการเปลี่ยนวิธีคิด (Mind Set) เปลี่ยนวิธีการทำ (How To) มีวินัย เอาชนะใจ  ทำซ้ำ จนกลายเป็นนิสัยใหม่ คือสร้างความเชื่อมั่นว่าเราทำได้

เขามีความเชื่อที่ผลักดันให้ตัวเองสำเร็จถึงทุกวันนี้และก้าวเดินต่อไป ด้วยความเชื่อที่ว่าจะพัฒนาชาติ ต้องพัฒนาคน สร้างชาติ ต้องสร้างคน ดังนั้น อาชีพครูหรือผู้สอนจึงเป็นบุคคลที่มีความสำคัญ เขาจึงสร้างหลักสูตร Train the trainer เพื่อในการค้นหาและพัฒนาครู (วิทยากร) วิทยากรคุณภาพให้กับสังคมไทย เพราะเชื่อว่าคนเราทุกคนเปลี่ยนแปลงตนได้ หากได้รับความรู้ ได้รับคำแนะนำจากคนที่สำเร็จมาก่อนผ่านรูปแบบสัมมนา หนังสือ หนังสือเสียง Online Training

ด้วยวัย 34 ปี เขาตั้งบริษัท สร้างแบรนด์ มีแฟนเพจ คนติดตามหลายหมื่นคน มีรายได้เกิน 10 ล้านบาทต่อปี เขาเชื่อว่า การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่เริ่มจากการเปลี่ยนแปลงตัวเอง รีบสร้างความสำเร็จ ดูแลคนในบริษัท ทีมงานรับผิดชอบดูแลครอบครัว คนที่เรารัก ตอบแทนรู้คุณ ครูอาจารย์ เมื่อสำเร็จ ตอบแทนคุณแผ่นดิน แบ่งปันเพื่อผู้อื่นบ้าง

เขามีหลักการทำงานว่า ต้องกล้าฝันและลงมือทำทันที ไม่อย่างนั้นมันก็เป็นแค่ความฝัน ไม่เข้าใกล้ความจริงสักที เมื่อมีปัญหาอย่าลืมให้กำลังใจตัวเอง พยายามหาศักยภาพของตัวเองให้เจอ เริ่มจากเล็กๆ ก่อน ค่อยๆ เติบโตอย่างมั่นคง

เขามองว่าธุรกิจสัมมนาการสื่อสาร ตลาดนี้เพิ่งเริ่มต้นและยังไปต่อได้อีก เน้นจับกลุ่มเป้าหมายคนไทย เพราะมั่นใจว่าไม่มีใครรู้จักคนไทยดีกว่าคนไทย เขามองภาพตัวเองใน 2-3 ปีข้างหน้าว่าอยากเป็นบริษัทสัมมนาที่มีวิทยากรชั้นนำที่มีความหลากหลาย ตอนนี้เขามีวิทยากรอยู่ 10 กว่าคน และจะเพิ่มขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้

“แม้จะเรียนจบแล้วก็อย่าหยุดที่จะเรียนรู้ เปิดรับสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ การเรียนรู้ไม่ได้มีแค่ในระบบเท่านั้น ต้องคอยเติมอยู่เสมอ ทั้งจากการอ่าน การฟัง การพูด คนเราต้องเรียนรู้เพิ่มตลอดเวลา” เขากล่าวอย่างมั่นใจ