posttoday

หญิงแกร่ง แห่งโลจิสติกส์ไทย จรีพร จารุกรสกุล

06 ตุลาคม 2559

สาวนักบริหาร จรีพร จารุกรสกุล ปัจจุบันรั้งตำแหน่งรองประธานกรรมการ รองประธานกรรมการบริหาร

โดย...วราภรณ์   ภาพ... วีรวงศ์ วงศ์ปรีดี

สาวนักบริหาร จรีพร จารุกรสกุล ปัจจุบันรั้งตำแหน่งรองประธานกรรมการ รองประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น ด้วยประสบการณ์ที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ของไทยมายาวนาน เธอเริ่มทำธุรกิจพลาสติกมาตั้งแต่อายุ 26 ปี จากนั้นจึงค่อยๆ เปลี่ยนสายงานไปเป็นด้านการบริหารคลังสินค้า จากการสังเกตเห็นว่าบริษัทขนาดใหญ่ที่ตัวเองเป็นผู้จัดหาวัตถุดิบให้นั้น ต้องการบริการเฉพาะทางด้านการบริหารคลังสินค้าและการกระจายสินค้า

ในปี 2546 จรีพรจึงได้ร่วมก่อตั้งบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น ขึ้น ซึ่งเป็นบริษัทที่คิดค้นนวัตกรรมที่มุ่งเน้นการพัฒนาคลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้า และโรงงานที่มีมาตรฐานระดับสูง เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า และในปี 2558 ที่ผ่านมา จรีพรได้มีบทบาทสำคัญในการเข้าซื้อกิจการบริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน ผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมชั้นนำของประเทศไทย อันประกอบด้วยกลุ่มอุตสาหกรรมด้านยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และปิโตรเคมี

จรีพรเพิ่งได้รับรางวัลผู้ประกอบการหญิงยอดเยี่ยมแห่งปี 2559 ในงาน Asia Pacific Entrepreneurship Awards 2016 จัดโดย Enterprise Asia ซึ่งเป็นองค์กรอิสระชั้นนำที่ส่งเสริมผู้ประกอบการในภูมิภาคเอเชียและเป็นคลังความรู้สำหรับการเป็นผู้ประกอบการด้วย

ในสายตาหลายคนอาจมองว่า โลจิสติกส์น่าจะเหมาะกับผู้ชายมากกว่า แต่จรีพรบอกว่า ในฐานะธุรกิจไม่มีคำว่าหญิงหรือชาย อยู่ที่ความสามารถเป็นหลัก และเหตุที่เธอสนใจวงการการขนส่งสินค้า เพราะเมื่อ 10 ปีที่แล้ว โลจิสติกส์คืออนาคตของทั่วโลก มีการเจริญเติบโตแบบไม่จำกัดและโตได้ทั่วโลก

“ดูง่ายๆ ตั้งแต่ต้นน้ำ เช่น ข้าว วัตถุดิบเข้าสู่โรงงานผลิต ผลิตเสร็จต้องจัดเก็บในคลังสินค้าก่อนจะกระจายไปปลายทาง ในการผลิตรถยนต์หรือยาก็ต้องพึ่งโลจิสติกส์ วงการนี้จึงกว้างมาก รวมทั้งโลกอี-คอมเมิร์ซสั่งของทางออนไลน์ แม้เราไม่ต้องไปช็อปปิ้งที่ห้าง ก็ต้องพึ่งธุรกิจเรา แม้จะส่งของไปดาวอังคารก็ต้องส่งทางโลจิสติกส์อยู่ดี

 

หญิงแกร่ง แห่งโลจิสติกส์ไทย จรีพร จารุกรสกุล

ยิ่งเทคโนโลยีพัฒนาไปมาก คนก็ยังต้องกินต้องใช้ เราอยู่ในวงการนี้มา 13 ปีแล้ว โลจิสติกส์จะโตแบบไม่จำกัด เราทำธุรกิจเอง เรามองเทรนด์อนาคต เราเป็นคลื่นลูกแรกของโลจิสติกส์ไทย เมื่อก่อนมีโกดังสินค้าเก่าๆ แบบโลคัลเยอะ แต่เราเป็นโกดังสินค้าที่สะอาด เพราะสินค้าเช่นยา สถานที่เก็บต้องสะอาดไม่มีฝุ่น จะเป็นโกดังสำหรับสินค้าแบบไหนเรามีหมด

เราทำธุรกิจขนย้ายสินค้าซึ่งต้องอาศัยความรวดเร็วเพราะทุกอย่างเป็นต้นทุนหมด ดังนั้นต้องเก็บในคลังสินค้าให้ดี ต้องเก็บให้น้อยวันที่สุดและส่งออกไปวางจำหน่ายให้เร็ว เราจะช่วยลูกค้าบริหารการจัดเก็บคลังสินค้าด้วย เราเป็นเหมือนโทเทิล โซลูชั่น คอนเซ็ปต์ คือเหมือนเป็นที่ปรึกษาดูแลทุกกระบวนการจนเสร็จสิ้นสินค้าส่งถึงมือผู้บริโภค”

กว่า 30 ปีแล้วที่จรีพรทำงานมา เริ่มแรกเธอมีบริษัทของตัวเองตั้งแต่อายุเพียง 26 ปี แต่เรื่องการทำธุรกิจเธอมีความคิดมาตั้งแต่อายุเพียง 10 ขวบเท่านั้น

“ดิฉันเป็นคนคิดเร็ว รู้ว่าตัวเองอยากทำธุรกิจตั้งแต่เด็ก เพราะดิฉันเป็นคนไม่ชอบทำงานประจำ หรือเป็นลูกน้องไปตลอด ชีวิตมีความฝันมากมาย อยากทำธุรกิจจึงชอบวิชาคำนวณ ชอบวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่เด็กๆ ดิฉันจะมีมุมคิดที่แตกต่างมาตั้งแต่เด็ก เช่น การคำนวณเลข ครูสอนวิธีนี้ แต่ดิฉันจะมีวิธีคิดอีกแบบที่เร็วกว่า ดิฉันชอบคิดและพิสูจน์เอง คิดต่างไม่ผิด แต่อย่าทำผิด หรือการเดินทางเส้นนี้ เราหาทางอื่นๆ เพื่อไปถึงเป้าหมายให้ได้ ดิฉันชอบดูสัมภาษณ์ทางทีวี เพื่อฟังเส้นทางที่เขาประสบความสำเร็จ เขาตอบเรานั่งคิดว่าเราจะประสบความสำเร็จได้เร็วกว่าเขาได้ไหม”

 

หญิงแกร่ง แห่งโลจิสติกส์ไทย จรีพร จารุกรสกุล

 

วิธีที่จะทำให้เราทำแล้วแตกต่างจากคนอื่นแล้วโดดเด่น จรีพรแนะว่า สิ่งแรกต้องรู้จักตัวเองก่อน ว่าเราเก่งเรื่องอะไร ชอบเรื่องอะไร สองคือสิ่งที่เราจะทำคือธุรกิจอะไร อย่าทำเพราะเขาบอกว่าดีหรือฮิต หรือบอกว่าน่าจะดี

“จะทำอะไรต้องมีข้อมูลว่ามันจะดี การเก็บข้อมูลมีหลายวิธี ศึกษา อ่าน ดูเทรนด์โลกจะไปอย่างไร จะคิดทำอะไรต้องศึกษาดีๆ ก่อน ต้องเรียนรู้เบื้องต้นว่า เราคือใคร ทำเพื่อใคร มีโอกาสโตไปอนาคตไหม เช่น เขาบอกในอนาคตเป็นดิจิทัล แต่เราทำอะนาล็อก ก็ตกเทรนด์แล้ว จะทำธุรกิจต้องดูคู่แข่ง รู้เขารู้เรา เราแข่งกับใคร เขาใหญ่มากเราแข่งไหวไหม ถ้าไม่ไหวหาตลาดเราเอง อีกทั้งต้องขยันอดทน สามคือต้องกล้าด้วย กล้าไหมที่จะเปลี่ยนแปลง แตกต่างและบุกเบิก ถ้าเรามีความพร้อม และเรามี 1 กล้า หรือมี 1 พร้อม เราจะประสบความสำเร็จ จริงๆ เงินยังไม่ใช่ปัจจัยสำคัญอยู่ที่ความพร้อม หากไม่มีเงินทุนมากค่อยๆ ทำงานเก็บเงินไป อย่างดิฉันเริ่มทำธุรกิจที่เงินหลักล้านบาท

แต่ปัจจุบันธุรกิจทั้งหมดมีมูลค่า 1 แสนกว่าล้านแล้ว ตอนนี้ถามว่าดิฉันประสบความสำเร็จหรือยัง ตอบว่ายังไม่รู้ แต่เราพอใจกับสิ่งที่เราเป็นเสมอ ดิฉันชอบทำงาน เรียกว่าสมัยก่อนดิฉันบ้างานมากๆ แต่เราไม่ได้บอกว่าเราต้องรวย แต่ดิฉันชอบทำงาน ชอบที่จะสร้างผลงานที่ดี ชอบมีคนดีๆ มาร่วมงาน แค่นี้ก็มีความสุข เงินเดี๋ยวก็ตามมาเอง คนบางคนอยากรวย แต่เราอยากทำ ดิฉันไปสอนเด็กๆ รุ่นใหม่เสมอว่า อย่าเรียกร้อง ถ้าเรายังไม่มีความสามารถ เด็กจบใหม่ต้องรู้ก่อนว่า งานที่เราทำคืออะไร สองเราสามารถทำให้บริษัทเขาก้าวหน้าได้หรือไม่ สามเราจะสามารถพัฒนาบริษัทให้เขาไปต่อได้อย่างไร ดังนั้นอย่าเรียกร้องเงินเลย ให้คิดอย่างนี้”

ปัจจุบันในบริษัทของจรีพรมีพนักงานราว 500 คน ซึ่งเธอเป็นนักบริหารที่มีวิธีปกครองลูกน้องคือทำองค์กรให้ชัดเจน เนื่องจากธุรกิจเธอหลากหลาย และเพิ่งเทกโอเวอร์เหมราชเข้ามา เธอต้องผสมผสานวัฒนธรรมของ 2 องค์กร ความคิดทุกอย่างเข้าด้วยกัน ที่สำคัญลูกน้องต้องเชื่อมั่นในตัวผู้บริหาร

หญิงแกร่ง แห่งโลจิสติกส์ไทย จรีพร จารุกรสกุล

 

“พนักงานในองค์กรต้องเชื่อมั่นว่า เราจะสามารถพาองค์กรเขาไปในทิศทางที่ดีขึ้น แล้วเราจะพาเขาไปกับเรา เราไม่ทิ้งใคร ต้องมีการจัดเทรนนิ่ง จับสองฝั่งมาละลายพฤติกรรม ลูกน้องเราเก่งทุกคน บางคนจบวิศวะ บางคนจบบริหารธุรกิจอาจไม่เข้าใจกันทุกส่วน จัดเทรนนิ่งเพื่อมาเติมเต็มสิ่งที่ขาด มารีเฟรชทำให้สดชื่นและเอาสิ่งใหม่ๆ เทรนด์ใหม่ๆ ใส่เข้าไป เราทำแบบนี้ เราจะได้ใจเขา

ที่สำคัญ บริษัทเราอยู่ได้เพราะเขา เราต้องสร้างผู้นำต่อไป เพราะเราต้องเกษียณอายุในอนาคต ใครจะขึ้นต้องมีความสามารถ บริษัทเราไม่ใช่บริหารกันแบบครอบครัว เราให้โอกาสกับทุกคนที่เก่ง ที่สำคัญต้องมีความดีมีน้ำใจด้วย ทุกอย่างต้องไปด้วยกัน ดิฉันมีทิศทางการเติบโตในอีก 30 ปีข้างหน้าแล้ว เราต้องวางกลยุทธ์แล้วไปด้วยความเร็ว

ดังนั้น ทีมเวิร์กต้องดี กลยุทธ์ที่วางแล้วทำไม่ได้ เพราะมันคือความฝัน ถ้าเป็นกลยุทธ์ที่ดีต้องทำได้ปฏิบัติได้ มีเป้าหมายที่สูงแต่ต้องจับต้องได้ เราจะพาองค์กรไปได้ต้องมีวิชั่นที่ชัดเจน และจะต้องไปได้ในหลายๆ เจเนอเรชั่น”

นักบริหารโลจิสติกส์หญิงเก่งคนนี้เผยถึงเคล็ดลับในการจัดชีวิตให้สมดุลระหว่างการทำงานกับการใช้ชีวิตส่วนตัว ซึ่งเธอมีวิธีคิดคือ ต้องสนุกกับการทำงาน แล้วจะรู้สึกว่าไม่ได้มาทำงาน แต่มาทำในสิ่งที่รัก

“เมื่อก่อนดิฉันก็มีความเครียดแฝง นอนไม่ค่อยหลับ ตอนหลังเริ่มมาปฏิบัติธรรม ได้ฝึกจิต ปล่อยวางทั้งหมด หันมาออกกำลังกาย ฝึกโยคะ ต่อยมวย รู้สึกว่าตัวเองหลับง่ายขึ้น เริ่มนิ่งเริ่มเข้าใจอะไรมากขึ้น และรู้สึกว่ามีความสุขกับชีวิต คือคนเราต้องปล่อยวาง จะมาเครียดสะสมไม่ได้ ชีวิตต้องจัดสมดุลให้ได้ แล้วชีวิตก็จะมีความสุขตลอดเวลา”