posttoday

อัญชลี ผ่องโอสถ ในวันที่มองออกไปเห็นสายหมอก

21 กันยายน 2559

หากถามว่า เรื่องนี้เริ่มต้นจากที่ไหน คงต้องตอบว่า เริ่มต้นขึ้นจากในเย็นวันหนึ่ง ที่หญิงสาวคนนี้มองออกไปนอกหน้าต่าง เธอไม่พบสิ่งใด

โดย...วันพรรษา อภิรัฐนานนท์ ภาพ ประกฤษณ์ จันทะวงษ์

หากถามว่า เรื่องนี้เริ่มต้นจากที่ไหน คงต้องตอบว่า เริ่มต้นขึ้นจากในเย็นวันหนึ่ง ที่หญิงสาวคนนี้มองออกไปนอกหน้าต่าง เธอไม่พบสิ่งใด นอกจากหมอกควันจากท่อไอเสียรถยนต์ ที่ลอยตลบหนาทึบขึ้นมาจากท้องถนน จนถึงชั้นสูงลิบบนตึกสูงกลางเมืองที่เธอทำงานอยู่

ไม่! ฉันทนทำงานแบบนี้ไม่ได้ ฉันทนอยู่แบบนี้ไม่ได้ หญิงสาวพูดกับตัวเอง วันรุ่งขึ้นหลังอาหารมื้อเช้า หญิงสาวผู้นี้ก็ยื่นใบลาออก นำมาซึ่งการเดินทางอันยาวนานและจุดหมายปลายทางที่แตกต่างออกไป

อัญชลี ผ่องโอสถ หรือ ทราย ในวัย 35 ปี ปัจจุบันเธอดำรงตำแหน่งผู้จัดการบริษัท ด็อกเตอร์ วูล์ฟฟ์ (ประเทศไทย) ในเครือกลุ่มบริษัท ด็อกเตอร์ วูล์ฟฟ์ หนึ่งในผู้นำของตลาดคอสเมติกของเยอรมนี บริษัทยาและเวชภัณฑ์เก่าแก่ ที่มีอายุการดำเนินงานกว่า 100 ปี (ก่อตั้ง พ.ศ. 2448)

การรุกเข้าตลาดเอเชียครั้งนี้ ด็อกเตอร์วูล์ฟฟ์มองหาผู้จัดการสายพันธุ์บุก อัญชลีต้องฟาดฟันกับผู้ท้าชิงเปี่ยมคุณสมบัติในตำแหน่งนี้อีก 5 คน ก่อนจะบุก บุก บุก รับผิดชอบและบริหารจัดการตลาดทั้งหมดในไทยแต่เพียงผู้เดียว

กว่าจะมาถึงจุดนี้ชีวิตไม่ง่าย เจ้าของเรื่องตัวจริงเล่าให้ฟังว่า บทเริ่มต้นของการเดินทางที่แท้ คือ ตั้งแต่เมื่อลืมตาดูโลก ทรายเกิดที่เมืองมานามา ประเทศบาห์เรน พ่อและแม่ทำร้านอาหารไทยอยู่ที่นั่น สมัยก่อนมีร้านอาหารไทยในบาห์เรนเพียง 2 ร้าน ชื่อร้านไทยคลับ (Thai Club) กับร้านของพ่อ ชื่อ อัพ อะ ทรี คัพ อะ ทรี (Up A Tree Cup A Tree) พ่อไปอยู่บาห์เรนตั้งแต่อายุ 14 ปี ได้งานเป็นคนสวน ความเป็นปาร์ตี้บอยของพ่อเป็นมาตั้งแต่สมัยหนุ่มอยู่เมืองไทย พ่อดื่มแอลกอฮอล์เก่ง ทำอาหารเก่ง แม้เมื่อไปอยู่บาห์เรนก็ยังเก่งทั้งเรื่องแอลกอฮอล์ และทั้งทำกับข้าวกับแกล้ม เลี้ยงเพื่อนเลี้ยงฝูงเป็นที่ลือเลื่อง

 

อัญชลี ผ่องโอสถ ในวันที่มองออกไปเห็นสายหมอก

 

“พ่อไปเจอกับแม่ที่บาห์เรน เพราะแม่ไปเป็นลูกมือช่วยญาติที่เปิดร้านทำผมอยู่ที่นั่น เมื่อมีข่าวแพร่สะพัดไปว่ามีสาวใหม่มาขึ้นเกาะ หนุ่มไทยทั้งบาห์เรนก็พุ่งตรงมาที่ร้านทำผมแห่งนี้ แม่ได้เจอกับพ่อ รักกันแล้วก็แต่งงานกัน จากนั้นก็ย้ายมาอยู่กับพ่อ ตอนนั้นพ่อทำร้านอาหารแล้ว จากความอนุเคราะห์ของผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่รักใคร่นับถือกัน ผู้เห็นในฝีมือทำกับข้าวของพ่อก่อนชวนว่า ลองเปิดร้านกันมั้ย”

ผู้ใหญ่ท่านนั้นทรายเรียกว่า “คุณลุง” เป็นผู้ออกทุน ส่วนพ่อลงทุนด้วยฝีมือทำกับข้าว กับข้าวของพ่อคือกับข้าวไทยทั่วไป ซึ่งนิยมและโด่งดังในต่างประเทศมาช้านาน ไม่ผิดไปจากต้มยำกุ้ง ต้มข่าไก่ หรือแม้แต่ข้าวผัด หรือผัดผักธรรมดา คนต่างชาติก็นิยมสั่งกิน ร้านขายดีมาก ทำให้พ่อและแม่ยุ่งตลอดเวลา ทรายโตขึ้นมาแบบต้องดูแลตัวเอง ช่วงเช้าไปเรียนโรงเรียนนานาชาติ ช่วงบ่ายถ้าว่างก็เล่นกับลาติฟาห์เพื่อนบาห์เรนที่หลังบ้าน แต่ส่วนใหญ่แล้วทรายโตขึ้นมาแบบดูแลสั่งสอนตัวเอง พ่อสอนครั้งแรกครั้งเดียว สั่งว่าห้ามวิ่ง ถ้าวิ่งก็ล้มเองเจ็บเอง แล้วก็จำให้ได้ว่าคราวหลังอย่าวิ่ง ถ้ามีน้ำตาต้องปาดด้วยมือของตัวเอง พ่อไม่โอ๋และแม่ไม่อุ้ม เหมือนจะขาดแต่ทรายปฏิเสธว่าไม่

“ชีวิตนี้ไม่เคยรู้สึกว่าขาดอะไร” ทรายเล่า... ดูแลตัวเองได้มาตั้งแต่เด็ก ชีวิตจึงเสมือนมีภูมิคุ้มกันเข้มข้น หากสายหมอกอีกชนิดหนึ่งที่ทำให้ชีวิตทรายต้องเปลี่ยน คือ หมอกควันจากระเบิดและฝุ่นทรายฟุ้งที่ลอยข้ามจากสงครามอ่าวเปอร์เซียมาถึงบาห์เรน พ่อและแม่ตัดสินใจส่ง ด.ญ.ทราย ที่ขณะนั้นอายุ 10 ขวบ กลับมาอยู่กับยายที่ประเทศไทย ตั้งใจรอให้สถานการณ์ไฟสงครามอ่าวฯ สงบ จึงค่อยคิดอ่านขยับขยาย แต่ไม่มีใครรู้ว่าการกลับมาหนนั้น จะทำให้ทรายไม่เคยได้กลับไปบาห์เรน หรือแม้แต่แม่ก็มิได้บอกลากัน

“แม่ของทรายเป็นโรคเอสแอลอี เมื่อทรายกลับเมืองไทยได้ 2 ปี แม่ก็เสีย ไม่เคยเจอแม่อีก ส่วนพ่อแวะมาเยี่ยมที่เมืองไทยบ้าง แต่ก็ไม่ได้กลับมาอยู่ด้วยกัน สุดท้ายพ่อต้องตายด้วยโรคหัวใจในเมืองที่ไกลจากบ้านมาก ทรายใช้ชีวิตอยู่กับยายและคุณลุงคุณป้ามากมายที่บ้านลาดพร้าว โตขึ้นมาด้วยการเรียกญาติฝ่ายชายทุกคนว่าพ่อ เรียกญาติฝ่ายหญิงทุกคนว่าแม่”

 

อัญชลี ผ่องโอสถ ในวันที่มองออกไปเห็นสายหมอก

 

 

สงครามอ่าวเปอร์เซียสงบลงในอีกหลายปีต่อมา แต่แม้ไฟสงครามจะสิ้นสุดและพ่อขณะนั้นก็ยังอยู่ที่บาห์เรน ยังไม่เสียชีวิต หากทรายไม่ได้กลับไป เนื่องจากอยู่เมืองไทยสนุกกว่า ชีวิตไม่มีกฎเกณฑ์มากเหมือนบ้านเมืองมุสลิม จึงอยู่เมืองไทยมาตั้งแต่นั้น จบสตรีวิทยา 2 ก่อนสอบเข้าคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จบแล้วได้ทำงานกับพีอาร์เอเยนซีรายใหญ่ ขณะเป็นพนักงานฝึกหัดฝีไม้ลายมือเข้าตากรรมการ ทรายก็เหลือบไปเห็นหมอกควันท่อไอเสีย ที่ลอยอวลขึ้นมาเหมือนจะปกคลุมเมืองทั้งเมือง

“ทรายมองลงไปจากตึกที่ทรายอยู่ มองเห็นหมอกควันเต็มถนนไปหมด แล้วก็ลอยคลุ้งขึ้นมาสูงๆ แม้ตึกที่เรายืนอยู่จะสูงมากก็ตาม นี่น่ะหรือ นี่คือที่ของเราหรือ ชีวิตเราต้องอยู่อย่างนี้ไปตลอดหรือ ทรายเฝ้าถามตัวเองซ้ำๆ เราอยู่แบบนี้ไม่ได้ เราทนไม่ได้จริงๆ”

ทรายตัดสินใจลาออก ปลอบขวัญตัวเองด้วยการออกเดินทางคนเดียวท่องเที่ยวจากเหนือจรดใต้ เที่ยวให้ทั่วก่อนค่อยกลับขึ้นมาหางานทำใหม่ แบกเป้ขึ้นบ่าได้ก็ลุยเลย ตามแผนการเดินทางจะค่อยๆ ไล่ลงมาจากเหนือสุดสู่ใต้สุด ปักหมุดป้ายสุดท้ายที่ภูเก็ต แต่ก่อนถึงภูเก็ตจะแวะเที่ยวเกาะสมุยที่สุราษฎร์ธานีก่อน ทันทีที่เครื่องบินร่อนลงจอดยังสนามบินท้องถิ่น สาวเก่งหัวใจแกร่งก็อ่อนระทวย เพราะภาพตรงหน้าช่างทำให้เธอหลงรัก ที่เคยคิดว่าจะอยู่สมุย 3 วันก็กลายเป็น 7 ปี

“หาดทรายที่กว้างสุดลูกหูลูกตา เอาใจของทรายไปเลย อยากอยู่ที่นี่ มองไปทางไหนก็ชื่นหัวใจเสียกระไร ที่นี่น้ำทะเลที่ฟ้าสด เป็นสีฟ้าที่สดสดสด ดอกเฟื่องฟ้าที่นี่ก็ชมพู้ ชมพู ชมพู หัวใจและหัวสมองของเราโปร่งโล่งทันที ไม่ทึบทึมเหมือนอยู่กรุงเทพฯ ชอบมากอยากอยู่ที่นี่ คิดได้อย่างนั้นก็ตกลงใจว่าต้องหาที่พักที่ราคาถูกหน่อยจะได้อยู่ได้หลายวัน”

ที่พักราคาถูกจริงแต่ไม่มีอะไรให้เลย แม้กระทั่งผ้าเช็ดตัว ทรายจึงไปโลตัสเพื่อซื้อผ้าขนหนู ขณะกำลังเลือกซื้อของใช้ส่วนตัวอยู่นั้น ใกล้ๆ กันมีฝรั่งคนหนึ่งกำลังมีปัญหากับการซื้อโซฟา เพราะพนักงานขายพูดภาษาอังกฤษไม่ได้และสื่อสารกันไม่ได้เลย 20 นาทีผ่านไป จนทรายคิดว่าเธอควรเข้าไปช่วย ได้ช่วยเหลือชาวต่างชาติคนนั้นจนซื้อโซฟาได้สำเร็จ เขาอาสาเลี้ยงกาแฟเธอเป็นการขอบคุณ เมื่อรู้ว่าสาวน้อยเพิ่งเรียนจบและยังไม่มีงานทำ ก็เสนองานให้

อัญชลี ผ่องโอสถ ในวันที่มองออกไปเห็นสายหมอก

 

ขณะนั้นเป็นปี 2547 และชาวต่างชาติผู้นี้ก็กำลังมองหาผู้ช่วย เนื่องจากต้องการพัฒนาที่ดินบนเกาะ ทรายคิดในใจว่า คำภาวนาขออยู่สมุยของเธอเป็นจริง หน้าที่ของทรายคือการประสานงานในทุกสิ่งของธุรกิจที่ดิน ตั้งแต่การตั้งบริษัท เจรจาซื้อที่ดิน เจรจากับนักออกแบบ ผังเมือง สำนักงานที่ดิน กรมเจ้าท่าและทุกเรื่อง ประสบการณ์ทุกอย่างที่ได้รับจากสมุยไม่น่าเชื่อว่าส่งผลดีต่อเธออย่างมาก ทั้งในช่วงเวลาต่อมาอีก 7 ปีที่อยู่บนเกาะ หรือแม้เมื่อไม่ได้อยู่ที่สมุยอีกแล้วก็ตาม

“วันแรกที่เท้าเหยียบเกาะสมุย รู้จักคำว่า love at first sight จากที่นี่ ทรายได้ช่วยเหลือชาวต่างชาติคนหนึ่ง ชาวต่างชาติคนนั้นจึงยื่นข้อเสนอจ้างงานให้เป็นผู้ช่วยของเขา และนั่นคือจุดเริ่มต้นเข้าสู่วงการอสังหาริมทรัพย์ ต่อมามีโอกาสทำงานขายให้บริษัท สมุย วิลลา แอนด์ โฮมส์ จนบริษัทฯ ได้รับรางวัล Best Agent จาก Thailand Property Award ในปี 2553”

ปี 2554 ทรายกลับขึ้นกรุงเทพฯ คิดว่าตัวเองมีความสามารถที่จะทำอะไรได้อีกเยอะ เธอเข้าทำงานที่บริษัท ไรมอนแลนด์ ในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายรีเซลส์และลีสซิ่ง (Resales and Leasing Manager) ปี 2556-2558 ทำงานกับพีเอ็มกรุ๊ป (PM Group) ในตำแหน่งผู้ช่วยผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ ดูแลโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลากหลายตั้งแต่สนามกอล์ฟ คอนโดมิเนียมและที่อยู่อาศัยแนวราบ ต่อมากลางปี 2558 จึงมีโอกาสเปลี่ยนสายงานสู่วงการเวชสำอางนำเข้า และอย่างที่รู้กันแล้ว เธอนั่งเก้าอี้ตัวใหญ่ที่นี่ ด็อกเตอร์ วูล์ฟฟ์ (ประเทศไทย)

สำหรับแผนการดำเนินงานในไทย 5 ผลิตภัณฑ์หัวหอกที่อยู่ในแผนบุกตลาด

"ทำอะไรก็แล้วแต่ ต้องทำให้สุดความสามารถ ถ้าไม่คิดจริงจัง ทรายจะไม่ทำเลยตั้งแต่แรก ถ้ารู้สึกว่าจะจริงจังกับมันไม่ได้ก็เสียเวลาเปล่า ทำเพราะใจเราอยากทำ ดร.วูล์ฟฟ์นี่ก็เช่นกัน ฟังสัญชาตญาณของตัวเอง ฟังเสียงจากภายในของตัวเอง ทรายรู้ว่าทรายทำได้และไม่เสียเวลากับมันแน่"