posttoday

รศ.นพ.นริศ กิจณรงค์ ทำทุกหน้าที่ ให้ดีที่สุด

01 กันยายน 2559

มีงานวิจัยเชื่อว่า มนุษย์เรามีความสามารถทำงานได้หลายสิ่งอย่างพร้อมๆ กัน

โดย...อณุสรา ทองอุไร ภาพ... กิจจา อภิชนรจเรข

มีงานวิจัยเชื่อว่า มนุษย์เรามีความสามารถทำงานได้หลายสิ่งอย่างพร้อมๆ กัน ยิ่งในผู้ที่มีสมาธิที่ดีจะทำงานได้หลากหลายและมีคุณภาพโดยเนื้องานไม่มีตกหล่น มีตัวอย่างที่เห็นได้ชัดจากคุณหมอหนุ่มท่าทางใจดียิ้มแย้มแจ่มใสคนนี้ รศ.นพ.นริศ กิจณรงค์ รองคณบดีฝ่ายสื่อสารองค์กรและกิจกรรมเพื่อสังคม คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล แม้จะอยู่ในวัย 47 ปี แต่หน้าตาดูอ่อนกว่าวัยไปหลายปีทีเดียว

หมอต้องทำงานบริหารได้

ทางด้านการศึกษานั้น หลังจบเตรียมอุดม คุณหมอก็สอบติดแพทย์ที่ศิริราช เลือกแพทย์เฉพาะทางด้านจักษุวิทยา ไปทำงานใช้ทุนที่ต่างจังหวัด ครบก็กลับมาเป็นแพทย์ประจำที่ศิริราชแล้วก็หาเวลาว่างไปเรียนต่อปริญญาโท ที่คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพราะสะดวกในการเดินทางแค่ข้ามเรือไปเรียน หลังจากนั้นก็ไปต่อเฉพาะด้านต้อหิน ที่มหาวิทยาลัยเทนเนสซีและมหาวิทยาลัยไมอามี สหรัฐ สุดท้ายไปคว้า ประกาศนียบัตรผู้เชี่ยวชาญด้านต้อหิน มหาวิทยาลัยไฮเดลเบิร์ก ประเทศเยอรมนี

“ที่เลือกไปเรียนปริญญาโทด้านบริหาร เนื่องจากว่าตอนเด็กอยากเป็นนักธุรกิจ แต่คนสมัยก่อนถ้าลูกเรียนดีก็อยากให้เป็นหมอ ก็เลยเรียนตามที่ทางบ้านอยากให้เรียน แต่ความฝังใจเรื่องธุรกิจยังมีอยู่ ก็ขอเรียนเพื่อตัวเองบ้าง

ตอนไปเรียนปริญญาโท คนมักจะถามเป็นหมอไปเรียนบริหารทำไม จะได้ใช้เหรอ แต่เราคิดว่าเรียนไว้ไม่เสียหลาย พอตอนนี้มันก็ได้นำมาใช้ในงานได้จริงๆ ดูงบกำไรขาดทุนเป็น ดูงบดุลเป็น เพราะเราไม่ได้อยากเป็นหมออย่างเดียว หรือเป็นผู้บริหารอย่างเดียว ทำหลายอย่างควบคู่ไป เพราะเป็นนักกิจกรรมมาตั้งแต่เด็กแล้ว มีความสุขกับการได้ทำงาน ได้ทำนั่นนี่ไปพร้อมกัน ตอนนี้ก็เป็นผู้ช่วยฝ่ายนโยบายและวางแผนด้วย”

รศ.นพ.นริศ กิจณรงค์ ทำทุกหน้าที่ ให้ดีที่สุด

 

รักงานจิตอาสา

นอกจากนี้ในส่วนวันหยุด คุณหมอก็ไปทำจิตอาสาร่วมกับหมอหลายคนไปผ่าตาฟรีให้กับคนเจ็บป่วยในต่างจังหวัดทุก 2 เดือน เพราะจักษุแพทย์มีน้อยโดยเฉพาะทางด้านต้อหินนั้นมีไม่พอกับจำนวนคนไข้ จึงต้องไปช่วยคนไข้ตามต่างจังหวัดบ้างเพราะโอกาสที่จะเข้าถึงการรักษามีน้อย เนื่องจากเห็นว่าการทำงานด้านจิตอาสาเป็นเรื่องที่ควรทำควบคู่กันไปกับงานประจำ ทุกคนทำความดีได้เสมอโดยไม่จำเป็นต้องใช้เงินเพียงอย่างเดียวทำอะไรก็ได้ในแบบที่คุณถนัดล้วนเป็นเรื่องที่ดีเสมอ เพราะพลังแห่งการให้ คือพลังแห่งความสุข

ขอบข่ายงานของคุณหมอในตอนนี้ คือเป็นหมอด้านจักษุ แล้วก็เป็นอาจารย์แพทย์ ซึ่งงานสอนนั้นเป็นเรื่องสำคัญเพื่อเป็นการส่งต่อให้กับหมอรุ่นต่อไป ควบคู่กับเป็นรองคณบดีฝ่ายสื่อสารองค์กรและกิจกรรมเพื่อสังคม รับผิดชอบงานประชาสัมพันธ์ให้กับโรงพยาบาล และคุณหมอก็อยู่ในทีมจัดหาทุนสร้างอาคารนวมินทรบพิตร 84 พรรษา เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อยกระดับให้บริการผู้ป่วยอย่างครบวงจรถวายเป็นพระราชกุศล โดยในอาคารแห่งนี้จะช่วยลดปัญหาความแออัดของผู้มารับบริการที่ตึกผู้ป่วยนอก ซึ่งในแต่ละปีมีผู้มารับบริการกว่า 3 ล้านคน “การบริจาคด้วยวิธี *984*100# กดโทรออก เพื่อบริจาคครั้งละ 100 ยังทำได้อยู่ และศิริราชยังขาดงบประมาณอีกเกือบ 1,000 ล้านบาท”

บางกอกน้อยโมเดล

ยังมีโครงการเพื่อกิจกรรมสังคมล่าสุดที่ศิริราชร่วมกับชุมชนโดยรอบ ชื่อโครงการว่า บางกอกน้อยโมเดล เริ่มจากการปั่นจักรยานรอบๆ ชุมชน เนื่องจากเกรงว่าในอนาคตอันใกล้นี้มีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นหลายคนต้องอยู่คนเดียวไม่มีลูกหลานดูแลมีเยอะที่ส่วนใหญ่อยู่คนเดียวตามลำพัง เมื่อเจ็บป่วยไม่มีใครช่วยดูแลและอาจจะเสียชีวิตไปโดยลำพังไม่มีใครรู้จนสายเกินแก้

ทางศิริราชจึงจัดตั้งชุมชนต้นแบบมีสมาชิก 1.5 แสนคน โดยให้ทุกคนมาลงทะเบียนเพื่อรายงานสุขภาพกับศิริราช ให้รู้ว่าคุณป้าคนนี้เป็นหัวใจ คุณลุงคนนั้นเป็นมะเร็ง และจัดหมวดหมู่ว่า มีกลุ่มเป็นโรคหัวใจกี่คน มะเร็งกี่คน เบาหวานกี่คน

“เพื่อเราจะเก็บข้อมูลไว้ว่าใครอยู่ที่ไหน เพื่อที่จะจัดหน่วยไปดูแลสัก 2 อาทิตย์ครั้งหรือเดือนละครั้ง แม้เป็นโรคติดต่อรุนแรงอะไรเราก็เข้าไปดูได้ ซึ่งข้อมูลตรงนี้จะเก็บเป็นความลับ เวลาใครเป็นอะไรจะได้รู้ไม่ใช่เสียชีวิตไป 3-4 วันแล้วคนเพิ่งมาเห็น โครงการนี้เริ่มเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ถ้าได้ผลดีก็จะเป็นโมเดลที่สำคัญให้ชุมชนอื่นเอาไปทำตามเพื่อช่วยดูแลสุขภาพของผู้สูงวัยในชุมชนและขยายไปทำทั่วประเทศ” คุณหมอกล่าวอย่างตั้งใจ

รศ.นพ.นริศ กิจณรงค์ ทำทุกหน้าที่ ให้ดีที่สุด

 

สายกลางพอเพียง

แม้จะทำงานหลากหลายสิ่ง แต่คุณหมอก็มีความสุขกับทุกสิ่งที่ทำ โดยไม่คิดจะไปทำงานนอกเวลากับโรงพยาบาลเอกชน เนื่องจากในวันปกติทำงานเต็มที่เต็มเวลาที่ศิริราช วันหยุดก็ไปทำงานจิตอาสาบ้างเป็นครั้งคราว ที่เหลือก็ไว้ออกกำลังกาย ให้เวลากับครอบครัวดีกว่า เงินก็สำคัญแต่ไม่เท่ากับสุขภาพ และเวลาให้กับคนที่เรารัก

หลักการทำงานของคุณหมอก็คือ พยายามมองโลกในแง่ดีเข้าไว้ ปัญหาทุกปัญหามีทางออกเสมอ เมื่อเจอปัญหาอุปสรรคอย่าท้อ ค่อยๆ แก้ไขไป เดี๋ยวก็เจอทางออกจนได้ บางครั้งก็นำหลักธรรมะมาช่วยได้ เพราะคุณหมอเคยบวชเณรมา 2 ครั้ง บวชพระมา 1 ครั้ง รู้ว่าธรรมะคือของจริงเป็นยารักษาใจชั้นดี ธรรมะจะช่วยเตือนสติไว้ได้เสมอ อย่าไปยึดติดกับลาภ ยศ สรรเสริญ ทุกอย่างมันเป็นแค่เปลือก พยายามใช้ชีวิตให้เล็กๆ เป็นปกติธรรมดาเข้าไว้ เรื่องพอเพียง สายกลางนี่ถือว่าเป็นวิถีที่เหมาะสมกับคนส่วนใหญ่

สุขภาพตาต้องดูแลสม่ำเสมอ

ในฐานะที่เป็นจักษุแพทย์ คุณหมอฝากเตือนเรื่องสุขภาพตาไว้สักนิดว่า เมื่ออายุ 45 ปีขึ้นไป ควรจะตรวจสุขภาพตาปีละสักครั้ง เนื่องจากข้อเสียของโรคทางตานั้น คือระยะแรกเมื่อป่วยอาการของโรคจะไม่ปรากฏเด่นชัดนัก กว่าที่จะรู้ตัวตาฝ้ามัว อาการก็เป็นไปเยอะแล้ว โรคต้อกระจกนั้นไม่อันตรายเท่ากับต้อหิน ซึ่งอาจจะตาบอดได้ แต่ต้อหินถ้าได้รับการรักษาแต่เนิ่นๆ ก็รักษาได้ อย่าไปซื้อยาหยอดตาใช้เองโดยไม่ปรึกษาแพทย์

การดูแลรักษาสุขภาพตาเบื้องต้น ก็คือพยายามอย่าใช้สายตามากเกินไป เมื่อต้องอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ควรพักสายตาบ่อยๆ ทุก 2 ชั่วโมง อย่าให้ตาแห้ง อาจช่วยด้วยการหยอดน้ำตาเทียม ใส่แว่นกันแดดอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากแสงอัลตราไวโอเลตจะทำร้ายสายตามาก