posttoday

ณฐกฤต วรรณภิญโญ ผลไม้พันธุ์ดีที่หล่นใต้ต้น

29 พฤษภาคม 2557

เสาร์ที่ 24 พ.ค.ที่ผ่านมา หนูหนึ่งมหิดล มาสขาว หนึ่งในผู้เข้าแข่งขันรายการ แดนซ์ ยัวร์ แฟต ออฟ ซีซั่นที่ 2 เป็นผู้คว้าแชมป์ด้วยการลดน้ำหนักได้ 7 กิโลกรัม ภายใน 1 สัปดาห์

โดย...ตุลย์ จตุรภัทร / หยก อภิชชญา ภาพ : วีรวงศ์ วงศ์ปรีดี&<2288;

เสาร์ที่ 24 พ.ค.ที่ผ่านมา หนูหนึ่ง-มหิดล มาสขาว หนึ่งในผู้เข้าแข่งขันรายการ แดนซ์ ยัวร์ แฟต ออฟ ซีซั่นที่ 2 เป็นผู้คว้าแชมป์ด้วยการลดน้ำหนักได้ 7 กิโลกรัม ภายใน 1 สัปดาห์ และลดน้ำหนักรวมได้ทั้งหมดเกือบ 40 กิโลกรัม รวมทั้งความสามารถด้านเต้นก็ไม่เป็นรองใคร

กว่าการเดินทางของรายการจะมาถึงวันนี้ ย่อมต้องผ่านอะไรต่อมิอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิดของโปรดักชั่นไดเรกเตอร์มือทอง จ๊อบณฐกฤต วรรณภิญโญ แห่งบริษัท ครีเอทิส มีเดีย ผู้นำเข้ารายการเทค มี เอาท์ ไทยแลนด์, ไทยแลนด์ แดนซ์ นาว และแดนซ์ ยัวร์ แฟต ออฟ ที่เพิ่งจบซีซั่นที่ 2 ไปหมาดๆ

เราจะมาพูดคุยกับผู้ชายคนนี้กันครับ

“สำหรับรายการแดนซ์ ยัวร์ แฟต ออฟ ตั้งแต่ซีซั่นแรกจนมาถึงซีซั่นนี้ ผมถือว่าประสบความสำเร็จนะ เนื่องจากรายการเราเป็นรายการแรกที่เอาคนอ้วนมาลดน้ำหนัก และในการลดน้ำหนักนั้นมันให้ความรู้กับคนดู ซึ่งคนที่ดูรายการผมเขาได้แรงบันดาลใจที่ดีกลับไปด้วย รวมทั้งผู้เข้าแข่งขัน ชีวิตเขาก็ดีขึ้นจริงๆ สมกับสโลแกนของรายการว่าเต้นเปลี่ยนชีวิต”

ด้วยความเชื่อที่ต้องการทำให้คนอ้วนมีแรงบันดาลใจในการลดน้ำหนัก โดยให้พวกเขาสามารถก้าวข้ามข้อจำกัดทางสรีระ แล้วหันมาสนใจการเต้น จะทำให้รายการนี้อยู่ต่อไป แม้จะไม่ได้แพร่หลายเท่าการประกวดร้องเพลง แต่เขาก็ถือว่าเป็นสิ่งใหม่ที่มีประโยชน์

“อีกรายการหนึ่งที่ผมเริ่มต้นทำมานานแล้ว นั่นคือรายการเทค มี เอาท์ ไทยแลนด์ ซึ่งมีทั้งผู้หญิงเลือกผู้ชาย ผู้ชายเลือกผู้หญิง และก็มีหลายคนถามผมมาว่า เพศที่ 3 จะมีโอกาสออกมาเลือกคู่ไหม เอาเป็นว่า ณ ตอนนี้ คงยังไม่เหมาะกับคนไทยสักเท่าไร แม้ว่าจะมีประเทศหนึ่งทำมาแล้ว แต่เราเป็นคนไทย อยู่ภายใต้วัฒนธรรมไทย ทิศทางที่ใครหลายคนอยากให้มี หรือแม้กระทั่งที่มีอยู่แล้วก็ยังอยากให้ถึงพริกถึงขิงตามฟอร์แมตของเมืองนอก มันคงไม่ใช่ทิศทางที่เป็นแบบฉบับของไทยเราสักเท่าไร จะเอาทั้งหมดของเขามาก็ลำบาก”

มีคนเคยถามณฐกฤตแบบขบขันว่า ทำไมเขาไม่ลองออกรายการนี้เองดูบ้างล่ะ... คือรายการนี้มีกฎอยู่ว่าผู้หญิงและผู้ชายที่มาออกรายการห้ามเจอกันก่อนขึ้นเวที

“ตัวผมเดินไปเดินมาอยู่ในสตูดิโอ เห็นผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด จึงหมดสิทธิตั้งแต่แรก แต่ก็ยังมีมาถามนะว่าผมจะเป็นคนสุดท้ายของซีซั่นไหม (หัวเราะ) ผมว่าคงไม่ได้แล้วแหละ”

นอกจากรายการที่ซื้อลิขสิทธิ์มาทำ เขาก็ยังคิดรายการใหม่ๆ อยู่เสมอ เพียงแต่รอจังหวะ เวลา และโอกาส

“ผมก็พยายามคิดรายการใหม่ๆ ไว้เหมือนกัน ส่วนจะเป็นจริงได้มากน้อยแค่ไหนนั้นคงต้องติดตามกันต่อไป เนื่องจากมีหลายๆ ปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าว่าเขาจะสนใจกับความคิดเราไหม หรือทางช่องเองว่าเขาจะชอบสิ่งที่เราคิดหรือเปล่า นอกจากนี้ก็ยังมีผู้ใหญ่หลายๆ ท่านให้ความกรุณาชักชวนเราไปทำในทีวีดิจิทัล เราก็รับไว้พิจารณา เนื่องจากบริษัทของเราไม่ได้ใหญ่มาก มีคนอยู่ไม่กี่คน ก็ต้องดูกำลังของเราว่าเราพร้อมไหม รูปแบบรายการใช่หรือไม่ และเอเยนซีซื้อไหม ผมว่าสุดท้าย 3 สิ่งนี้จะเป็นตัวตอบได้ว่าบริษัทของเราจะมีรายการใหม่หรือไม่ ณ ตอนนี้ก็ขอทำรายการที่มีอยู่ให้ดีที่สุดครับ”

แม้ว่าณฐกฤตจะดูเป็นหน้าใหม่ในวงการผู้ผลิตรายการโทรทัศน์ แต่หากเพ่งมองดูนามสกุลของเขาสักนิด อาจจะต้องร้อง...อ๋อ เพราะเขาคือทายาทของ สมพงษ์ วรรณภิญโญ ผู้ก่อตั้ง ทีวี ธันเดอร์ บริษัทผลิตรายการโทรทัศน์ชื่อดังของเมืองไทย

“ผมเห็นคุณพ่อทำงานในวงการมาตลอด สัมผัสมาตั้งแต่เด็ก แต่ตอนเด็กๆ ยังไม่สนใจสักเท่าไร จนได้มีโอกาสทำงานจริงที่ทีวี ธันเดอร์ เริ่มจากเป็นเด็กฝึกงาน เรียนรู้งานด้านโทรทัศน์ว่าต้องมีอะไรบ้าง ทำอะไรบ้าง หรือไปลองทำอีเวนต์และคอนเสิร์ต ซึ่งเราก็ค่อยๆ ซึมซับมา จริงๆ แล้วพ่อไม่เคยบอกว่าต้องทำหรือต้องเข้ามาช่วยรับผิดชอบต่อ แต่พอเราได้มาลองทำก็รู้สึกว่าหัวเราพอไปได้นะ เราพอเข้าใจองค์ประกอบต่างๆ และการขับเคลื่อนงานให้ดีนั้น ต้องทำอะไรบ้าง พอทำๆ ไปแล้วรู้สึกว่าทำได้ เรามีความสามารถในด้านนี้อยู่เหมือนกัน มันก็หล่อหลอมมาจนเป็นเราในวันนี้”

สำหรับหลักในการทำงาน ณฐกฤต เผยว่า เขาต้องวิจารณ์การทำงานของตัวเองให้ได้อยู่ตลอดเวลา “เวลาที่ผมทำงาน ผมจะไม่บอกว่างานที่ผมทำคือดีที่สุด แต่ผมจะคอยถามตัวเองว่ามันยังมีอะไรที่ดีกว่านี้ได้อีกไหม เมื่อถามตัวเองแล้วก็พยายามค้นคว้าหาคำตอบ รวมทั้งกระตุ้นตัวเองเพื่อให้ได้งานที่ออกมาดีที่สุด”

นอกเหนือจากการทำงาน ณฐกฤตก็เหมือนคนหนุ่มทั่วไป ชอบไปดูคอนเสิร์ตทั้งเมืองไทยและเมืองนอก อีกทั้งยังชอบอ่านหนังสืออีกด้วย

“คอนเสิร์ตของไทย ผมชอบบิ๊ก เมาน์เทนนะ ผมไปทุกปี นอกจากไปผ่อนคลาย ก็พยายามไปเรียนรู้การจัดงานด้วย ไปเรียนรู้เรื่องการจัดแสง สี เสียง ความสวยงาม อันไหนดี เราก็จะเก็บไว้ ส่วนหนังสือผมชอบอ่านแนววิธีคิดของคนที่ประสบความสำเร็จ อย่าง สตีฟ จ็อบส์ ผมอยากรู้ว่าทำไมเขาถึงประสบความสำเร็จขนาดนี้ ผมก็อ่านจนจบเพื่อจะได้รู้ว่าชีวิตเขาเป็นยังไง อ่านแล้วก็ได้รู้ว่าเขาเป็นคนทำอะไรต้องทำให้สุดๆ ผมจึงไม่แปลกใจที่เขาประสบความสำเร็จได้มากมายขนาดนี้”

นอกจากนี้ ณฐกฤตยังชอบอ่านหนังสือการ์ตูน โดยเขาไม่เคยเห็นว่าหนังสือการ์ตูนเป็นเรื่องไร้สาระ

“ผมเชื่อว่าการอ่านหนังสือการ์ตูนทำให้เรามองหรือคิดอะไรออกมาเป็นภาพได้เสมอ ทำให้เรามีจินตนาการกว้างไกล ผมว่าหนังสือทุกอย่างมีคุณค่า มันให้อะไรกับเราได้เสมอ ขอเพียงเขามองเห็นและนำสิ่งดีมาเป็นประโยชน์กับตัวเราเอง”

ท้ายสุด ณฐกฤต เผยว่า เป้าหมายในชีวิตของเขา คือการดำเนินธุรกิจนี้ไปเรื่อยๆ และหวังว่าจะได้เห็นมันประสบความสำเร็จมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน

“คำว่าประสบความสำเร็จ ไม่ได้หมายความแค่ผมพอใจกับงานที่ผมทำ คนอื่นต้องพอใจและยอมรับมันด้วย รวมไปถึงคนดูที่ดูรายการแล้วจำได้ไหม พูดถึงไหม หรือการร่วมงานกับทุกคนที่เกี่ยวข้องในวงการว่าเขายอมรับเราไหม เขาเห็นเราแล้วเขารู้ว่างานเราเป็นยังไง อยากจะร่วมงานกับเราหรือไม่ ตรงนี้คือสิ่งสำคัญครับ”

ณฐกฤต วรรณภิญโญ

อายุ : 30 ปี

การศึกษา : มัธยมศึกษา โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ / ปริญญาตรี คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ / ปริญญาโท สาขา Enterprise Management For Creative Arts, London College of Communication ประเทศอังกฤษ