posttoday

กนกฉัตร มรรยาทอ่อน กับทุกๆ โอกาสที่เขาได้รับ

12 กุมภาพันธ์ 2557

โดย...ตุลย์ จตุรภัทรเตย เพ็ญศรี/ภาพ วิศิษฐ์ แถมเงิน

โดย...ตุลย์ จตุรภัทรเตย เพ็ญศรี/ภาพ วิศิษฐ์ แถมเงิน

โอกาสที่ลอยล่องอยู่รอบตัวเรามากมายเหมือนอากาศที่เพียงเรากล้าลองไขว่คว้า สักวันมันอาจกลายเป็นสิ่งที่เรา “มี” และเรา “เป็น”

คุณเชื่อในเรื่องของโอกาสบ้างไหม? ผมถามคำถามนี้กับชายหนุ่มคนหนึ่ง ผู้ซึ่งค้นพบว่าตัวเองรักการเต้นลีลาศมาตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 รัก ฝึกฝน และลงสนามแข่งไล่เรื่อยมา จนสามารถสอบติดคณะศิลปกรรมศาสตร์ เอกนาฏศิลป์สากล มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร และไขว่คว้าหาโอกาสที่ล่องลอยอยู่รอบตัวเหมือนอากาศ จนกระทั่งได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันรายการเคพีเอ็น อวอร์ด ครั้งที่ 21 ในปี พ.ศ. 2554 จนได้รับรางวัลรองนักร้องยอดเยี่ยมแห่งประเทศไทย อันดับ 1 ในที่สุด

ใช่แล้วครับ ผมกำลังพูดถึง “ไต้ฝุ่น-กนกฉัตร มรรยาทอ่อน” ผู้ซึ่งปัจจุบันได้เดินทางก้าวมาไกลจากจุดเริ่มต้น โดยเขาเอาดีทางด้านแสดงละครเวที ที่ทั้งได้ร้อง เล่น และเต้น อย่างเต็มตัว กับผลงานล่าสุด ในบทบาทพระเอกละครเวทีเรื่อง เพลงรักของเธอ สุนทราภรณ์ เดอะมิวสิคัล ที่กำลังเปิดทำการแสดงอยู่ในขณะนี้ ณ โรงละครเอ็มเธียเตอร์ เพชรบุรี รวมทั้งได้รับโอกาสจาก “หน่อง-อรุโณชา ภาณุพันธุ์” แห่งค่ายบรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น โดยได้เซ็นสัญญากับทางค่ายเป็นเวลา 5 ปี มีผลงานละครกับทางค่ายคือ เรื่องมาดามดัน และที่กำลังถ่ายทำอยู่ก็มี ดาวเคียงเดือน และร้ายรักพยัคฆ์กังฟู รวมทั้งละครซิตคอมเรื่องแรกของเขานั่นคือเรื่อง รักจัดเต็ม ออกอากาศทุกวันอาทิตย์ ทางช่อง 3

“ผมเป็นแค่เด็กธรรมดาคนหนึ่งที่ชอบทำงานด้านนี้ เมื่อได้รับโอกาสมาผมก็พยายามทำทุกงานให้ออกมาดีที่สุด ผมไม่คิดว่าตัวเองเป็นนักแสดงที่แสดงดีหรือเหนือกว่าคนอื่น มีคนอื่นอีกมากมายที่เก่งกว่าผม ผมขอเป็นนักแสดงคนหนึ่งที่ตั้งใจทำงานทุกงานอย่างสุดความสามารถครับ”

นี่อาจเป็นคำบอกเล่าที่ออกมาจากความคิดในใจ ซึ่งเขาเผยว่ามันเป็นความคิดที่ทำให้เขามีความกระตือรือร้นที่จะทำงานให้สุดกำลังความสามารถ รวมทั้งทำให้เขาถ่อมตนอยู่ตลอดเวลา โดยไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองดังแล้ว หรือเป็นผู้ยิ่งใหญ่เหนือกว่าใครแล้ว

“คนที่ผิดหวังมากับการประกวดต่างๆ ค่อนข้างเยอะ สิ่งที่ผมใช้สอนตัวเองเสมอ ซึ่งผมจำมาจากคำพูดของแม่ของผม นั่นคือ ถ้าเรามีโอกาสถึง 100 ครั้ง ก็ให้ลองไปเลย 100 ครั้ง แม่เชื่อว่าต้องมีอย่างน้อย 1 ครั้ง ที่เป็นของเรา ซึ่งพอถึงวันหนึ่ง ผมได้รับโอกาสนั้นมาจริงๆ ทำให้ผมได้คิดว่า ถ้าเกิดเราท้อ เราหยุดเดินต่อ...ไปเสียก่อน สิ่งเดียวที่เราจะได้รับ คือเราจะไม่ได้อะไรเลย แต่ถ้าเราสู้ต่อไป เรายังมีโอกาสข้างหน้ารอเราอยู่เสมอ”

กับเส้นทางการทำงานในวงการบันเทิง ชายหนุ่มคนนี้ได้รับโอกาสที่ดีให้เข้ามาเป็นนักแสดงละครเวทีแนวมิวสิคัล ที่ถือว่าเป็นศาสตร์ที่ยากที่สุด เพราะทั้งร้อง เล่น และเต้น เขาเผยว่าการเล่นละครเวทีให้ประโยชน์กับเขามาก ทั้งเรื่องบุคลิกภาพ เรื่องการแสดง เรื่องการร้องเพลง รวมหมดทุกอย่าง

“ทำให้ผมเป็นคนมีสติมากขึ้นด้วยครับ รู้จักแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า เพราะเรื่องไม่คาดคิดสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และมันก็เกิดขึ้นทุกรอบการแสดง คนนู้นผิดบ้าง คนนั้นผิดบ้าง เป็นธรรมดา แต่ถ้าเราทำให้ผ่านไปด้วยดีได้ เราก็จะเก่งมากขึ้นเรื่อยๆ”

กนกฉัตร มรรยาทอ่อน กับทุกๆ โอกาสที่เขาได้รับ

 

กนกฉัตร เผยว่า กับละครเวทีเรื่อง เพลงรักของเธอ สุนทราภรณ์ เดอะมิวสิคัล เขาได้ใช้ความรู้ความสามารถด้านการเต้นอย่างเต็มที่ ทำให้เขานำทักษะเหล่านี้มาใช้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ

“เรื่องเต้น ผมเลยไม่ค่อยกังวลเท่าไหร่ นั่นเป็นข้อดีที่ทำให้ผมสามารถเอาเวลาไปทุ่มเทให้กับการฝึกร้องเพลง และฝึกเรื่องของการแสดงได้มากกว่า”

กนกฉัตร ได้เล่าย้อนไปว่า เขาเรียนและฝึกฝนการเต้นลีลาศมาตั้งแต่ชั้น ป.5 และก็ได้เข้าแข่งขันมาตลอด ซึ่งในตอนแรกเขารู้สึกไม่ชอบและไม่ได้อยากจะเต้นลีลาศเลย

“ผมก็เป็นเด็กผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่งที่ติดเพื่อน ติดเล่น ติดเกม แล้วยิ่งเป็นผู้ชายมาเต้นลีลาศก็ยิ่งถูกล้อ หลายคนจะมองว่าผู้ชายที่เต้นลีลาศส่วนใหญ่มักจะเป็นชายที่กึ่งสาวนิดๆ ผมจำได้ว่า ตอนเรียนวิชาลีลาศ ผมแอบลากคู่ของผมไปเต้นไกลๆ จากครู ไปหลบอยู่หลังมุมห้อง ครูสั่งให้เต้นโดยห้ามนับจังหวะ แต่ทีนี้คู่ของผมอยู่ไกล ก็เลยแอบนับจังหวะกันได้แบบเบาๆ ก็เลยกลายเป็นว่าคู่ของผมเต้นดีที่สุด หลังจากนั้นเป็นเรื่องเลย (หัวเราะ) ผมถูกสั่งให้ไปช่วยงานประจำปีของโรงเรียน ผมก็เลยได้เต้นลีลาศมากขึ้น เต้นไปเต้นมาเลยกลายเป็นหลงเสน่ห์ของมันเลยครับ”

การหลงเสน่ห์ของการเต้นลีลาศในครั้งนั้น ทำให้ได้เรียนรู้ว่า การเต้นลีลาศลึกซึ้งกว่าการเต้นทุกอย่าง เนื่องเพราะต้องใช้แรงเต้นคู่กันระหว่างคนสองคน

“หลายคนอาจมองว่าเป็นการเต้นอ้อนแอ้น แต่ในความคิดของผม การเต้นลีลาศเป็นกีฬาชนิดหนึ่ง ซึ่งได้ทั้งการออกกำลังกายและได้ทั้งท่วงท่าลีลา เพราะความยากของมันคือการเต้นให้สวย เวลาฝึกซ้อมก็ต้องใช้ทั้งแรงและใช้ทั้งเวลามากถึงมากที่สุด เวลาลงแข่ง เราก็ต้องทุ่มเทไม่ต่างจากนักกีฬาประเภทอื่นๆ มีตารางการซ้อม มีการเข้าเก็บตัวก่อนลงแข่งจริง พอถึงเวลาแข่งเราจะมองเห็นเลยว่าทำไมคนนี้ชนะ คนนั้นเต้นดี เพราะพวกเขาได้มีเวลาฝึกซ้อมมากกว่านั่นเอง”

หลังจากเต้นลีลาศตั้งแต่ตอน ป.5 จนเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษา เขาก็ไม่เคยห่างหายจากการเต้นเลย จนกระทั่งมาถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่จะต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย กนกฉัตร เผยว่า ตอนนั้นเขาคิดไว้สองอย่างซึ่งแตกต่างกันมาก นั่นคือ การเรียนด้านเภสัชกรกับด้านการเต้นลีลาศ

“สุดท้าย ผมก็เลือกเรียนในสิ่งที่ชอบมากกว่า นั่นคือ การเต้นลีลาศ ผมเลยมาสอบตรงเข้าที่ มศว เผอิญว่าที่นี่มีรุ่นพี่ที่ผมชอบคุยเรื่องงานด้วย เขาก็เรียนที่นี่ พอสอบเข้าได้ ผมก็ได้เรียนเต้นในอีกหลายๆ แบบที่ไม่ใช่แค่ลีลาศเพียงอย่างเดียว บัลเลต์ก็มี แจ๊ซก็มี และก็อื่นๆ อีกมากมาย ผมรู้สึกว่าการมาเรียนที่ มศว ผมได้อะไรมากกว่าการเต้น ที่นี่เขาสอนว่า More Than Dancing To Be Dancer มีเรื่องของวินัย เรื่องที่เป็นความรู้อื่นๆ ให้ได้เรียนรู้อีกเยอะ สอนให้เราคิดงาน จากเมื่อก่อนที่เคยเต้นอย่างเดียว ได้รับท่าแบบไหนมาก็เต้นแบบนั้น แต่เมื่อเราได้เรียนรู้จากที่นี่ ทำให้ผมได้คิดในเรื่องของการเต้นที่เราทำไป คนดูจะได้รับประโยชน์อะไรจากการเต้นของเรา ให้คิดถึงว่าท่าเต้นที่เราเต้นออกไปมันจะสื่อสารอะไรออกไปถึงคนดู เราจะไม่สามารถเป็นศิลปินที่เอาแต่ใจตัวเองได้เมื่อเราได้คิด”

กนกฉัตร เผยถึงความคิดของตัวเองว่า อีกสักปีสองปี เขาคงจะกลับไปเต้นลีลาศอย่างจริงจัง “หลังจากเรียนจบ มันจะมีเวลาว่าง ซึ่งผมคิดไว้ว่าอาจจะไปลองคัดตัวเป็นนักกีฬาทีมชาติดู อีกอย่างตอนนี้ผมได้คู่เต้นคนใหม่พอดี ก็ตั้งใจจะพากันไปฝึกซ้อมให้กับสมาคมกีฬาลีลาศแห่งประเทศไทยอย่างจริงๆ จังๆ ครับ”

เล็กๆ น้อยๆ ของผู้ชายชื่อไต้ฝุ่น

ก่อนเข้าวงการ : ผมมีความคิดอยากเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งมาก ผมอยากเป็นนักร้อง ผมเคยประกวดร้องเพลงมากเยอะมาก แต่ตกรอบมาตลอด จนเริ่มชิน เริ่มรู้สึกเฉยๆ กับการตกรอบ คิดแค่ว่า ตกรอบคราวนี้ คราวหน้าก็มาลองใหม่

กับการเป็นนักแสดง : ผมอยากเป็นนักแสดงที่ใครให้ผมทำอะไร ผมสามารถทำได้หมด เพราะผมคิดว่า ถ้าผมสามารถทำได้หลายอย่าง มันจะต้องดีกว่าแน่นอน ผมอยากอยู่ในวงการนี้นานๆ อยู่ไปได้เรื่อยๆ ไม่จำเป็นต้องดังมากหรือมีชื่อเสียงมาก แค่ขอให้ได้อยู่ในวงการนี้ไปนานๆ เพื่อได้ทำในสิ่งที่ชอบไปนานๆ ก็พอ

เกี่ยวกับชีวิตปัจจุบัน : ผมใช้ชีวิตปกติธรรมดาเหมือนเด็กมหา’ลัยคนหนึ่ง อยู่หอ อยู่กับเพื่อนๆ เพราะครอบครัวอยู่ที่เชียงใหม่หมด ผมมาอยู่กรุงเทพฯ ได้ 4 ปีแล้ว แรกๆ ที่มาก็ยังมีพูดติดสำเนียงทางเหนืออยู่บ้าง แต่ตอนนี้เริ่มดีขึ้นแล้ว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการทำงาน เวลาว่างก็มีไปออกกำลังกายบ้าง แต่ตอนนี้ต้องแสดงละครเวที ซึ่งไม่ต่างจากการออกกำลังกายเท่าไร เพราะมันเหนื่อยมาก ต้องใช้แรงร้อง ใช้แรงแสดง

กับละครเวทีเรื่อง เพลงรักของเธอ สุนทราภรณ์ เดอะมิวสิคัล : ผมอยากให้ทุกคนมาดูกันมากๆ ครับ ถึงผมจะเป็นนักแสดงรุ่นใหม่ แล้วละครเวทีเรื่องนี้จะออกไปทางแนวเพลงสุนทราภรณ์ที่เป็นเพลงรุ่นเก่า แต่ทีมงานที่ทำละครเรื่องนี้ก็ได้ปรับเปลี่ยนให้เนื้อหามันมีความเป็นสมัยใหม่มากขึ้น อย่าไปยึดติดว่าเพลงยุคนั้นจะต้องเป็นแบบนั้น ของเก่าจะมาคู่กับคนแก่ มันไม่ใช่ครับ