posttoday

ภารุณี มุติวัฒนาสวัสดิ์ ผูกพันกับแฟชั่น

22 มกราคม 2557

ตั้งแต่เรียน การทำงาน คร่ำหวอดอยู่ในแวดวงแฟชั่นมาโดยตลอด ภารุณี มุติวัฒนาสวัสดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย

โดย...ปอย ภาพ เสกสรร โรจนเมธากุล

ตั้งแต่เรียน การทำงาน คร่ำหวอดอยู่ในแวดวงแฟชั่นมาโดยตลอด ภารุณี มุติวัฒนาสวัสดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย บริษัท เซ็นทรัลมาร์เก็ตติ้งกรุ๊ป บอกโพรไฟล์การร่ำเรียนด้านแฟชั่นดีไซน์ ด้านการออกแบบโครงเสื้อผ้า ที่สถาบันพาร์สันส์ เดอะ นิวยอร์ก สคูล ออฟ ดีไซน์ ด้วยเหตุผลอยากเรียนด้านแพตเทิร์น กอปรกับที่บ้านทำธุรกิจเกี่ยวกับชุดว่ายน้ำส่งจำหน่ายตามโรงเรียนทั่วประเทศและสวนน้ำต่างๆ ซึ่งก็เรียกได้ว่าโตมากับการเชื่อมั่นในแพตเทิร์นคือ เรื่องสำคัญที่สุดของเสื้อผ้าที่จะทำให้เสื้อผ้าสวยจริง แล้วถ้าเนื้อผ้าที่ดีจริงก็จะยิ่งช่วยปรับให้รูปร่างของผู้สวมใส่ออกมาดูดีได้

เวิร์กกิงวูเมนคนเก่งของห้างใหญ่บอกเล่าว่า ตอนไปเรียนในนิวยอร์ก เวลานั้นยังถือว่าเป็นเมืองที่น่ากลัวอยู่มาก ไม่ปลอดภัยนัก จึงต้องเรียนรู้เพื่อใช้ชีวิตอยู่ให้ได้ด้วยตัวเอง ช่วยเหลือตัวเอง ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง เป็นเมืองที่มีการแข่งขันสูงแม้ว่าจะเป็นแค่นักเรียนแฟชั่นดีไซน์ แต่ว่าทุกคนก็ต้องแข่งกันเพื่อทำคะแนนให้ได้สูงที่สุด การแข่งขันนี้ทำให้นำกลับเอามาใช้กับการทำงานได้ในทุกวันนี้

“ดิฉันเริ่มงานเกี่ยวกับวงการนี้ ด้านแฟชั่นด้านการค้าปลีกมาตลอดเลยค่ะ แล้วแม้ว่าเรียนจบแฟชั่นดีไซเนอร์ แต่กลับไม่ได้ทำอย่างที่เรียนมา เพราะอย่างที่บอกพอเรียนจบมาปุ๊บก็มาเริ่มทำงานเป็นฝ่ายจัดซื้อที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งที่สเกลใหญ่ไม่แพ้ที่นี่ ทำงานด้านแฟชั่นดีเทลต้องลงรายละเอียดในแฟชั่นลึกมาก มันก็คือต้องลงดีเทลของทุกๆ อย่างเลยนะคะ เราต้องรู้ทุกๆ อย่าง ตั้งแต่เลเอาต์ห้างเพื่อลงมือจัดหน้าร้านเอง การพูดคุยกับซัพพลายเออร์ ไปจนถึงขนาดที่ต้องลงไปขายของด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งดีที่ทำให้เรารู้ดีเทลของงานทุกอย่าง

ดิฉันเปรียบเทียบเหมือนกับการเรียนด้านทำคอนสตรักเจอร์โครงเสื้อผ้านะคะ ถ้าเสื้อที่ทำมีเส้นด้ายหายไปแม้เพียงเส้นเดียว ช่วงไหล่มันก็จะออกมาไม่สวย รูปทรงของเสื้อมันก็จะออกมาไม่สวย ก็เลยทำให้เราได้เป็นคนที่คิดอะไรละเอียด แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะคิดจุกคิดจิกนะ คิดละเอียดๆ มากๆ ไปแบบต้องลงลึกไปเป็นเซนติเมตรอย่างนั้นเลยค่ะ” ภารุณี เริ่มต้นสนทนาถึงหน้าที่การงานซึ่งหญิงสาวหลายๆ คน ปฏิเสธไม่ลงว่าเป็นงานที่น่าทำมาก

“แฟชั่นดีเทลที่เป็นแมสโปรดักชั่นในเมืองไทยตอนนี้ มีคู่แข่งค่อนข้างสูงค่ะ แล้วในอนาคตเร็วๆ นี้จะมีการยกเลิกระบบภาษีเพื่อรับเออีซี เสื้อผ้าแบรนด์นอกจากประเทศเพื่อนบ้านเราในกลุ่มเออีซีก็ต้องแข่งขันเข้ามาทำการค้าในภูมิภาคนี้ อย่างกลุ่มเซ็นทรัลมาร์เก็ตติ้งกรุ๊ป ในปีหน้าเราจะมีแบรนด์ใหม่ๆ เข้ามาอีกเยอะมากเลยค่ะ ก็จะทำให้มีการแข่งขันที่ค่อนข้างสูงตามไปด้วย ซึ่งส่วนตัวดิฉันชอบการแข่งขันเพราะมันช่วยทำให้เราเกิดความกระตือรือร้น มีความแอ็กทีฟ ไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องยากอะไรค่ะ เพราะเราอยู่ในวงการงานแบบนี้มานานแล้ว และมองเห็นได้ชัดว่าแฟชั่นสำหรับคนไทยจริงๆ มันก็ไม่ได้มีอะไรเยอะ ด้วยเหตุผลคือคนไทยไม่ได้ชอบอะไรมากมาย คนไทยชอบรายละเอียดเพียงนิดๆ หน่อยๆ และมีข้อจำกัดบางอย่างที่ทำให้สินค้าบางชิ้นเหมาะกับลูกค้าคนไทย

ภารุณี มุติวัฒนาสวัสดิ์ ผูกพันกับแฟชั่น

 

อย่างเช่น เสื้อเชิ้ตแพตเทิร์นเรียบๆ คนไทยเราก็มักจะไม่นิยมใส่กัน ในฐานะคนทำงานที่ต้องซื้อของมาขายห้างสรรพสินค้า ก็ลองคิดเล่นๆ คงจะเป็นเพราะว่าคนไทยเรามีหน้าอกน้อยหรือเปล่าคะ? (หัวเราะ) เลยจำเป็นต้องพึ่งพาเสื้อเชิ้ตที่มีระบายดูพองๆ ปกปิดส่วนที่ขาด และจากประสบการณ์ที่เคยทำงานมาเลยทำให้รู้ว่าคนไทยต้องการสินค้าแบบไหน แบบไหนคือสิ่งที่ถูกใจลูกค้า เคยมีโอกาสได้ร่วมงานกับแบรนด์หนึ่งในห้าง เขาจะขายเสื้อผ้าเรียบๆ สังเกตเห็นว่าเสื้อเชิ้ตเรียบๆ ไม่เคยขายได้เลยนะคะ แต่ถ้ามีระบายนิดระบายหน่อยจะทำให้ขายดีมากขึ้นทันทีค่ะ (ย้ำเสียงชัด) คนไทยเราไม่นิยมแต่งตัวกันเรียบๆ คลาสสิกเท่าไรนัก แต่บางครั้งเสื้อผ้าเบสิกก็ขายดี สรุปแบบนี้ดีกว่าทุกปัจจัยในการทำงาน พอเอาเข้าจริงๆ ก็ต้องลองผิดลองถูกถึงจะรู้ค่ะ เคยมีคนบอกดิฉันว่า อะไรที่เราชอบ มักจะขายไม่ดี จึงไม่สามารถเอาความชอบส่วนตัวมาใช้ในการทำงานได้ทุกอย่าง ต้องคิดลดทอนจากความชอบส่วนตัวลงมาอีกขั้น เพื่อจะได้สินค้าที่เหมาะสม ซึ่งหลักในการทำงานก็ง่ายมาก คือในทุกวันจะต้องเช็กสถิติการขายค่ะ ต้องหาให้ได้อะไรขายดี” ภารุณี กล่าวคล่องแคล่ว

บ่อยครั้งมักจะโดนทางบ้านดุ ภารุณี บอกแต่ก็คิดในทางบวกการที่เราต้องใช้เงินจำนวนมาก เสียไปกับการซื้อเสื้อผ้า มันก็เหมือนการซื้อรสนิยม เพราะถ้าเราไม่ช็อปปิ้ง เราจะไม่รู้เลยว่าลูกค้าต้องการอะไร

“ยิ่งเวลาไปต่างประเทศ ดิฉันซื้อของได้เยอะมากๆ เพราะว่าพวกของที่เซลส์ 70-90 เปอร์เซ็นต์ พวกเสื้อผ้าแปลกๆ ที่ขายไม่ได้ เอามาลดราคา แล้วสุดท้ายมันก็จะมาอยู่ในการครอบครองของเรา (หัวเราะมีความสุข)

แบรนด์ที่ดิฉันดูแลคือ แมงโก้ สำหรับบางคนอาจมองว่าเสื้อผ้าแบรนด์แมงโก้เบสิก เดิมๆ พื้นๆ ไม่มีอะไร แต่แฟชั่นเบสิกที่มีความเรียบง่ายคือ คีย์ลุกที่ทำยอดขายให้กับแบรนด์ เพราะในที่สุดแล้วคนเราก็ไม่ได้ชอบอะไรที่ทำให้ดูเยอะแยะ ลองสังเกตร้านเสื้อผ้าต่างๆ ตามห้างดูกันนะคะ เสื้อผ้าทุกแบรนด์จะมีเสื้อผ้าในไลน์ Core Item วางไว้หน้าร้านเป็นสินค้าหลัก หากแบ่งเป็นจำนวนสินค้าคอลไอเท็มจะมีอยู่ถึง 50 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว เป็นเสื้อผ้าเบสิกที่ดูง่ายๆ (เน้นเสียงว่าง่ายมาก) ไม่ต้องคิดอะไรมากในการเลือกซื้อที่ไม่เสียดายเงิน ก็เพราะซื้อไปใส่ได้หลายโอกาส นำมามิกซ์แอนด์แมตช์ได้กับทุกอย่าง คนทั่วไปหรือใครก็มีติดตู้กันทั้งนั้น ซื้อทีละหลายตัว หรือหลายสีได้ในคราวเดียวกัน และไม่ต้องรอซื้อตามโอกาสความเหมาะสมของฤดูกาล อยากซื้อเมื่อไรก็ซื้อได้

ไม่แตกต่างอะไรกับการแต่งตัวของดิฉัน เสื้อผ้าที่ดิฉันติดตู้ส่วนใหญ่มักจะเป็นเสื้อเชิ้ตค่ะ จะเรียกว่าเป็นมนุษย์ไวต์เชิ้ตเลยก็ได้ เชิ้ตสีขาวมีประมาณ 100 กว่าตัวเลยนะคะ เน้นเนื้อผ้าดี แพตเทิร์นดี มีทั้งแบบเบสิกเรียบง่ายและแบบที่เป็นลวดลาย หรือจะเป็นแบบที่มีดีเทลเยอะๆ ก็มีค่ะ ทุกครั้งที่มีธุระสำคัญ มีเดต มีประชุมสำคัญ ดิฉันก็จะเลือกใส่เชิ้ตสีขาว เพราะรู้สึกสบายใจมากในจับมิกซ์กับท่อนล่างใส่ร่วมกับยีนส์ได้ ขาสั้น หรือท่อนล่างสีดำ คือผสมผสานลงตัวได้หมด เสื้อเชิ้ตขาวเรียบๆ ทำให้ใส่แล้วดูเซ็กซี่ได้ แค่ปลดกระดุมลงหน่อย มิกซ์ใส่กับกางเกงขาสั้น หรือกางเกงรัดรูปฟิตๆ จะใส่ยังไงก็สวย ถ้าหุ่นเราดี

และในตอนนี้ดิฉันดูแลเสื้อผ้าผู้ชายอยู่ด้วย เอสแฟร์ แดเนียล เฮกเตอร์ แคทชัวลิส โฟร์บายโฟร์แมน ก็จะลองหยิบเชิ้ตผู้ชายมาใส่บางโอกาส ส่วนแบรนด์ในดวงใจสำหรับเสื้อเชิ้ตสีขาว แน่นอนค่ะแมงโก้ ดิฉันศรัทธาในแบรนด์นี้ตั้งแต่ระบบวิธีการทำงานที่ส่งคนมาสอนงานทุกๆ เดือน ความสากลของแบรนด์ตั้งแต่การวิธีการออกคอลเลกชั่น วิธีการจัดคอลเลกชั่น วิธีการจัดหน้าร้านอย่างมีวิชวลเมอร์ชั่นไดรฟ์ตั้งแต่หุ่นหน้าตรงกระจก ก็ต้องเป็นแพตเทิร์นของเขาทั้งหมด ทุกครั้งที่มีการเปิดร้านใหม่ขึ้นจะมีการส่งผู้เชี่ยวชาญมาจัดตู้กระจกและมาสอนวิธีจัดให้เราอีกด้วย ซึ่งเปลี่ยนไปทุกซีซั่น แต่อย่างที่บอกนะคะครึ่งหนึ่งของสินค้าทางร้านจะมีแต่สินค้าเบสิก เพราะเป็นของขายทั้งปี

ภารุณี มุติวัฒนาสวัสดิ์ ผูกพันกับแฟชั่น

 

นี่คือข้อดีของการทำงานทุกวันนี้ค่ะ ได้เห็นการทำงานของทุกแบรนด์ ได้พูดคุยกับเจ้าของแบรนด์ทั้งแบรนด์ไทยและแบรนด์นอก แต่สิ่งยากที่สุดของการทำงานตรงนี้ คือไม่มีเวลาได้พักผ่อนเลย เพราะแฟชั่นลีเทลมันคือ การขายทุกๆ วันนะคะ ทำงานแบบ 24 ชั่วโมง ดิฉันต้องรู้ความเคลื่อนไหวของทุกๆ ร้าน ตรวจสอบปัญหาทุกๆ วัน บางวีกคนทำงานแทบไม่มีสิทธิได้ถามว่าจะได้หยุดวันไหน ห้างปิด 4 ทุ่ม ยอดการขายของวันนี้ก็จะส่งมาถึงมือเราทันที ซึ่งจะต้องเปิดดู ตรวจสอบดูทุกอย่าง แล้วถ้าวันนี้มีปัญหาหรือเกิดขายไม่ดีขึ้นมา คุณจะหลับตานอนไม่ได้เลย หรือแม้แต่วันเสาร์อาทิตย์ที่คิดอื่นเขาได้ไปพักผ่อนกัน เราก็ต้องไปเดินตรวจสอบหน้าร้านแล้ว เพราะจะต้องรู้ให้ได้ทันทีเลยค่ะว่าอะไรคือสินค้าขายดี ขายไม่ดี แต่ไม่เครียดค่ะ (บอกย้ำพร้อมรอยยิ้ม) ดิฉันรักในสิ่งที่ทำ” ภารุณี บอกทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้ม

สนุกกับแฟชั่นสไตล์ ‘ภารุณี’

เสื้อผ้าเบสิก นอกจากเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงยีนส์ทุกทรง ลิตเทิลแบล็กเดรสเรียบๆ แพตเทิร์นสวยๆ หยิบมาใส่ได้ทุกโอกาส เป็นไอเท็มที่ทุกคนควรจะมีติดไว้ในตู้

“เคยอ่านหนังสือที่บอกว่าผู้หญิงมี 4 บุคลิก บุคลิกแรกคือคลาสสิก สองคือหวาน สามเปรี้ยว และสี่คือ เฉี่ยว ดิฉันว่าจริงนะคะเรื่องนี้ เพราะถ้าดูซีรีส์เซ็กแอนด์เดอะซิตี้ ตัวละครที่เป็นทนายจะแต่งตัวเรียบๆ อีกคนจะเป็นผู้หญิงหวานๆ สีชมพูอะไรดูหวานแหวว อีกคนก็คือตัวนางเอกที่เป็นนักเขียน เขาจะแต่งตัวเฉี่ยว ชิก อีกคนก็แต่งตัวเปรี้ยว เซ็กซี่ ซึ่งจากความชอบในแฟชั่นดิฉันสามารถแต่งได้หมดทุกแนวที่พูดมา (หัวเราะชอบใจ) เพราะแต่ละแบบมีรายละเอียดที่ต่างกัน

เพียงต้องถูกกาลเทศะ ยกตัวอย่าง อย่างวันประชุมเช้าแต่งตัวเรียบๆ ให้ดูสุภาพ พอเลิกงานค่ำๆ มีปาร์ตี้ก็จะแต่งตัวเปรี้ยวใส่เสื้อเปิดเผยรูปร่างนิดหน่อย ผู้หญิงแต่งตัวได้หมดทุกสไตล์ค่ะ (ย้ำ) ไม่มีแบบไหนที่ใส่ไม่ได้ แล้วก็ไม่มีแบบไหนที่คิดว่าจะไม่ใส่เลย

ดิฉันชอบออกกำลังกายมาก เล่นโยคะมา 10 กว่าปีแล้วค่ะ พีราทิส ต่อยมวย คือเล่นได้หมดทุกอย่าง เพราะคิดว่าเวลาเรารูปร่างดีจะใส่เสื้อผ้าอะไรก็สวย พยายามออกกำลังกายให้ได้ทุกวัน ทำทั้งตอนเช้าก่อนมาทำงาน แล้วถ้าเดินทางไปต่างประเทศก็ยังทำโยคะ การโพสท่าบูชาพระศิวะ สวยๆ ก็น่าจะดีกว่าโพสถ่ายรูปสวยๆ ยืนอยู่นิ่งๆ นะคะ ร่างกายคือเรื่องสำคัญที่เราต้องทำให้สดชื่น สดใส แข็งแรง”