posttoday

หุ้นไทย28พ.ย.ดัชนีปิดพุ่ง10.85จุด

28 พฤศจิกายน 2560

หุ้นไทย 28 พ.ย. เคลื่อนไหวในแดนบวก ก่อนปิดที่ระดับ 1,706.52 จุด เพิ่มขึ้น 10.85 จุด มูลค่าการซื้อขาย 49,056 ล้านบาท

หุ้นไทย 28 พ.ย. เคลื่อนไหวในแดนบวก ก่อนปิดที่ระดับ 1,706.52 จุด เพิ่มขึ้น 10.85 จุด มูลค่าการซื้อขาย 49,056 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 28 พ.ย. ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวในแดนบวกตั้งแต่เปิดตลาด และปิดช่วงบ่ายที่ระดับ 1,706.52 จุด เพิ่มขึ้น 10.85 จุด หรือ 0.64 % มูลค่าการซื้อขาย 49,056 ล้านบาท

นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า การลงทุนในหุ้นประจำสัปดาห์นี้ (27 พ.ย.-1 ธ.ค.) ให้จับตานโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่มีแนวโน้มมากกว่า 95% ปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม 2017 และมีโอกาสที่จะเห็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือนมีนาคม 2018  ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดอาจจะต้องปรับฐาน เพื่อสะท้อนการขึ้นดอกเบี้ยมาสู่ระดับ 1.75% ในเดือนมีนาคม 2018

"ถ้ามองในช่วงสั้นปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดทิศทางตลาดหุ้นใน EM (Emerging Market : ระบบเศรษฐกิจของประเทศตลาดเกิดใหม่) คือตลาดการเงินในประเทศจีน แนะนำให้นักลงทุนติดตามตลาดหุ้นจีนอย่างใกล้ชิด รวมทั้งนโยบายของ Fed ซึ่งทั้ง 2 ปัจจัยถือว่าเป็นความกังวลแค่ระยะสั้น แต่อยากให้มองเป็นโอกาสในการสะสมหุ้นในระยะยาว"ดร. วิศิษฐ์กล่าว

สำหรับในช่วงปลายปี 2017 เราได้เห็นการขายเพื่อทำกำไร (Profit Taking) ในหุ้นที่มีราคาปรับตัวสูงขึ้นกว่าการปรับตัวของดัชนีตลาด (Outperform) ตลอดปี 2017 เช่น หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า ส่วนในช่วงระยะสั้นหุ้นกลุ่มที่ได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของภาคการบริโภคภายในประเทศ (Domestic Consumption) จะมีการ Outperform กว่าหุ้นกลุ่มที่มีการปรับตัวตามสภาวะเศรษฐกิจหรือธุรกิจ (Cyclical) รวมทั้งหุ้นกลุ่มรถยนต์ที่ Position ตัวเองมุ่งสู่รถยนต์ไฟฟ้า (Electric Car) รวมถึงหุ้นในกลุ่มธนาคารที่มีการเพิ่มขึ้นของ ROE (Return on Equity : อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น) ก็จะ Outperform เช่นกัน

นายวิศิษฐ์กล่าวต่อว่า ตลาดหุ้นไทยที่ปรับฐานในสัปดาห์ที่ผ่านมากว่า 30 จุด เป็นการปรับตัวลงตามตลาดหุ้นจีนและถือเป็นการปรับฐานย่อย นำโดยกลุ่มปิโตรเคมีและกลุ่ม Cyclical ที่ถูกขายทำกำไร เนื่องจากความกังวลในตลาดการเงินของจีน

ส่วนของประเด็นที่นักลงทุนมีความกังวลในตลาดการเงินและตลาดหุ้นจีน เช่น ภาคการปล่อยกู้ของภาคสถาบันการเงิน (Credit Market) การเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทน10 ปีของพันธบัตรรัฐบาลจีนมาสู่ระดับกว่า 4% และการเริ่มมีการควบคุมของระเบียบการเงินเพิ่มขึ้น เช่น การเพิ่มอัตราดอกเบี้ย (Rate) ของธนาคารกลางขึ้นในการทำ Open Market Operation การควบคุมเรื่องการออกตราสารประเภท Wealth Management Products (WMPs) เพื่อลดความร้อนแรงของตราสารการบริหารความมั่นคั่งดังกล่าว รวมทั้ง Item ที่อยู่ใน Off Balance Sheet Item

ขณะที่สัปดาห์ที่ผ่านมา นักลงทุนต่างประเทศซื้อพันธบัตรระยะสั้น จำนวน 33,000 ล้านบาท และมีกระแสการไหลของเงินทุน (Fund Flow) ที่เข้าซื้อตลาดพันธบัตรระยะสั้นของไทยจำนวนมากถึง 48,000 ล้านบาทในเดือนพฤศจิกายน โดยตลอดทั้งปี 2017 มีเม็ดเงินที่ไหลเข้ามาลงทุนในพันธบัตรระยะสั้นของไทยเป็นจำนวนถึง 320,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นอันดับต้นๆ ในรอบหลายปีที่ผ่านมา จึงทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นในระยะสั้น

หลักทรัพย์ที่มูลค่าซื้อขายสูงสุด 5 อันดับได้แก่

AOT  มูลค่าซื้อขายสูงสุด 8,287 ล้านบาท ปิดที่ 61.50 บาท เพิ่มขึ้น 3.00 บาท (+5.13%)

IVL   มูลค่าซื้อขายสูงสุด 1,599 ล้านบาท ปิดที่ 49.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท (+2.59%)

IRPC  มูลค่าซื้อขายสูงสุด 1,440 ล้านบาท ปิดที่ 6.20  บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท ( +3.33%)

CPALL มูลค่าซื้อขายสูงสุด 1,339 ล้านบาท ปิดที่ 74.00 บาท ลดลง 1.25 บาท (-1.66%)

PTT  มูลค่าซื้อขายสูงสุด  1,258 ล้านบาท ปิดที่ 414.00 บาท ลดลง 2.00 บาท (-0.48%)