posttoday

กองทุนรวมไทย ทะลุ 5 ล้านบัญชี

16 มกราคม 2561

อุตสาหกรรมกองทุนรวมไทย เติบโตต่อเนื่องในรอบ 11 ปีมานี้ ทั้งมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การบริหาร และจำนวนนักลงทุน

โดย...พูลศรี เจริญ

อุตสาหกรรมกองทุนรวมไทย เติบโตต่อเนื่องในรอบ 11 ปีมานี้ ทั้งมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การบริหาร หรือเอยูเอ็ม จำนวนนักลงทุนที่ลงทุนผ่านกองทุนรวมมีมากขึ้น รวมถึงมีผลิตภัณฑ์กองทุนเพิ่มขึ้นและหลากหลายสินทรัพย์ ที่สำคัญ คือ การไปลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งทำให้นักลงทุนมีทางเลือกในการลงทุนและกระจายความเสี่ยงมากขึ้น

ข้อมูลจากสมาคมบริษัทจัดการลงทุน หรือสมาคม บลจ. ระบุว่า ปี 2549 มีจำนวนบัญชีกองทุนรวมต่อจำนวนบัญชีเงินฝาก 1.58 ล้านบัญชี เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 5.87 ล้านบัญชี ณ เดือน มิ.ย. 2560 หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 5 เท่า

เช่นเดียวกับมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ หรือเอยูเอ็ม กองทุนเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่า จาก 1.22 ล้านล้านบาท ในปี 2549 มาอยู่ที่ 5.03 ล้านล้านบาท ในปี 2560

เป็นที่น่าสังเกตว่าในรอบ 11 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนไทยได้กระจายความเสียงไปลงทุนต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่ละปีเติบโตเลข 2 หลัก

ข้อมูลจากสมาคม บลจ. ระบุว่า มูลค่าทรัพย์สินกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (FIF) สิ้นปี 2560 อยู่ที่ 1.1 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 21.93% ของกองทุนรวมทั้งอุตสาหกรรม ขณะที่ปี 2549 กองทุนดังกล่าวมีเอยูเอ็มเพียง 2.89 หมื่นล้านบาท

มาดูกันว่าเงินที่ลงทุนในกองทุนรวมไปอยู่ในสินทรัพย์ประเภทไหนบ้าง พบว่ายังเป็นตราสารหนี้มากที่สุด โดยมีมูลค่า 2.7 ล้านล้านบาท ตามมาด้วยลงทุนในหุ้น 1.37 ล้านล้านบาท กองทุนผสม (ลงทุนในหุ้น-ตราสารหนี้) มูลค่า 3.71 แสนล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นกองทุนอสังหาริมทรัพย์ กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน และกองทุนอื่นๆ

จากข้อมูลข้างต้น จะเห็นได้ว่า นักลงทุนได้กระจายเงินลงทุนไปยังสินทรัพย์ที่เสี่ยงสูงขึ้นเพื่อเพิ่มผลตอบแทนหลังอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำมาหลายปี ไม่ว่าจะเป็นหุ้น อสังหาริมทรัพย์ และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน

สมิทธ์ พนมยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า กองทุนรวมประเภทที่ลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายทั่วโลก หรือมัลติแอสเซท ได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะสามารถตอบโจทย์นักลงทุนที่ต้องการเพิ่มผลตอบแทน และต้องการมีรายได้สม่ำเสมอ

สอดคล้องกับ รัชต์ โสดสถิตย์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.แอสเซท พลัส แนะนำการจัดพอร์ตลงทุนสำหรับปีนี้ว่า ลงทุนในกองทุนมัลติแอสเซท 40% ภายใต้การคาดการณ์ผลตอบแทน 5-6% ต่อปี ขณะที่การลงทุนในหุ้น 30% แบ่งเป็นหุ้นไทยและต่างประเทศสัดส่วนเท่าๆ กัน

นอกจากนี้ ที่อยู่ในกระแสความสนใจของกองทุนรวมไทย คือ การลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี  ปัญญาประดิษฐ์ (ไอเอ) และหุ่นยนต์ (โรโบติกส์) ล่าสุด บลจ.แลนด์ แอนด์ เฮาส์ ได้ออกกองทุนเปิด แอล เอช โรโบติกส์-E (LHROBOT-E)

ทั้งหมดคือพัฒนาการของอุตสาหกรรมกองทุนรวมไทย ในรอบ 11 ปี ที่จะเห็นได้ชัดว่า ผู้ออมและผู้ลงทุนรู้จักช่องทางการลงทุน การกระจายความเสี่ยงมากขึ้นเพื่อเพิ่มผลตอบแทน มีการขยายช่องทางการขายผลิตภัณฑ์ทั้ง บลจ.ในเครือธนาคารพาณิชย์ และนอกเครือ ตลอดจนการขายผ่านตัวแทนขายอิสระ ฉะนั้นปีนี้จำนวนบัญชีกองทุนรวมเกิน 6 ล้านบัญชี อยู่แค่เอื้อม