posttoday

บิ๊กเบา ‘ช ทวี’ นวัตกรรมรถขนส่ง

10 กุมภาพันธ์ 2560

นวัตกรรมระดับโลกของการออกแบบรถขนส่งตู้คอนเทนเนอร์น้ำหนักเบาเชิงพาณิชย์ “บิ๊กเบา” ที่เป็นรถตรงกับความต้องการของตลาดและภาคการขนส่ง รวมถึงสามารถครองตลาดลูกค้าได้ในหลายประเทศทั่วโลก

โดย...วราภรณ์ เทียนเงิน 

นวัตกรรมระดับโลกของการออกแบบรถขนส่งตู้คอนเทนเนอร์น้ำหนักเบาเชิงพาณิชย์ “บิ๊กเบา” ที่เป็นรถตรงกับความต้องการของตลาดและภาคการขนส่ง รวมถึงสามารถครองตลาดลูกค้าได้ในหลายประเทศทั่วโลก

สุรเดช ทวีแสงสกุลไทย” กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ช ทวี เปิดเผยว่า บริษัทได้พัฒนา “บิ๊กเบา” (Big Bao) รถขนส่งตู้คอนเทนเนอร์น้ำหนักเบาเชิงพาณิชย์เข้ามาสู่ตลาดประเทศไทยเป็นเวลาหลายปีแล้ว และส่งออกรถไปหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งตลาดโลกตอบรับดีมากและมีความต้องการเพิ่มขึ้นในทุกปี

การพัฒนาบิ๊กเบามาจากการที่บริษัทได้ทำธุรกิจการผลิตอุปกรณ์ขนส่งและเกี่ยวกับโลจิสติกส์ การพัฒนาตัวถังรถบรรทุก และรถลำเลียงอาหาร เป็นต้น จึงต้องการพัฒนาและสร้างนวัตกรรมของรถบรรทุกเพื่อการขนส่งที่ดีมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ บริษัทได้มีการซื้อเทคโนโลยีการทำผนังรถจากประเทศฝรั่งเศสมาพัฒนาต่อและประกอบในไทย หลังจากนั้นประมาณ 3-4 ปีจึงพัฒนารถบิ๊กเบาสู่ตลาดที่เป็นนวัตกรรมผนังตู้ที่ไม่ใช้โครงเหล็ก จึงทำให้รถบรรทุกมีน้ำหนักเบากว่ารถบรรทุกทั่วไป สามารถบรรทุกสินค้าได้มากขึ้นกว่ารถทั่วไปประมาณ 2 เท่าตัวขึ้นไป และมีความทนทานอย่างมากเมื่อเทียบกับรถบรรทุกทั่วไป

โดยเมื่อรถน้ำหนักเบาและบรรทุกได้เพิ่มขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการได้รับประโยชน์ขนส่งสินค้ามากขึ้น และเป็นรถบรรทุกที่ถูกต้องตามกฎหมายของการขนส่ง ไม่มีปัญหาเรื่องน้ำหนักบรรทุกที่เกินมาตรฐาน ซึ่งตัวถังรถบรรทุกที่มีน้ำหนักเบา บริษัทเป็นผู้พัฒนารายแรกในประเทศไทย โดยยอดขายในช่วงที่ผ่านมาจากการส่งออกไปทั่วโลก เป็นจำนวนมากกว่า 1,000 คันแล้ว ซึ่งรถของบริษัทจะมีราคาแพงกว่ารถทั่วไปประมาณ 30-40% แต่มีความคุ้มค่าในการใช้งานอย่างมาก

สำหรับรถบิ๊กเบาได้รับรางวัลนวัตกรรมจาก สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สนช. ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมระดับโลก อีกทั้งนวัตกรรมดังกล่าวยังส่งเสริมให้เกิดการสร้างมูลค่าการผลิตรถยนต์และอุปกรณ์ประกอบรถยนต์ต่อเนื่องในประเทศไทย

สุรเดช กล่าวว่า นโยบายของบริษัทมุ่งให้ความสำคัญเรื่องการลงทุนวิจัยและพัฒนา (อาร์แอนด์ดี) ในระดับสูง โดยแต่ละปีจะต้องมีผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมออกมาสู่ประเทศไทยประมาณ 1 รายการ ภายใต้การพัฒนาผลิตภัณฑ์ของทีมงานที่มีความคิดสร้างสรรค์และตรงกับความต้องการของลูกค้าในตลาดโลก

“การทำวิจัยและพัฒนาถือเป็นความยั่งยืนขององค์กรในระยะยาว และบริษัทจะมุ่งให้ความสำคัญกับการทำอาร์แอนด์ดีอย่างมาก โดยมีงบประมาณในการทำอาร์แอนด์ดีอยู่ในสัดส่วน 1% ของงบลงทุนทั้งหมด” สุรเดช กล่าว

บริษัทกำลังพัฒนารถบรรทุกไฟฟ้า (อีวี) ซึ่งได้พัฒนามาเป็นระยะเวลา 3 ปีแล้ว เพื่อให้มีความพร้อมและเหมาะสมมากที่สุด โดยได้เริ่มให้ภาคเอกชนและสถาบันการศึกษาในประเทศไทยได้ทดสอบรถบรรทุกไฟฟ้าของบริษัทแล้ว เพื่อให้มีความพร้อมและสมบูรณ์มากที่สุด ซึ่งหากมีพร้อมอย่างเต็มที่จะพัฒนาออกมาสู่ตลาดในประเทศต่อไป

อีกทั้งบริษัทยังได้พัฒนาหุ่นยนต์ วีอาร์7 จากทีมงานภายในบริษัท ซึ่งได้รับรางวัลนวัตกรรมจาก สนช.มาเช่นกัน โดยเป็นหุ่นยนต์แขนกลสำหรับใช้ในการผลิตภาคอุตสาหกรรม ซึ่งอยู่ระหว่างการทำตลาดต่อไป และตรงกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม นอกจากนี้กำลังพัฒนาระบบอัตโนมัติเพื่อส่งเสริมการทำการเกษตรรุ่นใหม่ และเป็นผลดีต่อการปรับการเกษตรสู่สมาร์ทฟาร์ม

“สิ่งที่อยากเสนอให้ภาครัฐในการวางนโยบายนวัตกรรมคือ ควรมียุทธศาสตร์ที่เป็นความร่วมมือของภาครัฐและเอกชนมาร่วมผลักดันโครงการ เพื่อร่วมมือผลิตสินค้าที่มีนวัตกรรมที่เป็นความร่วมมือจากเอกชนหลายกลุ่มและภาครัฐ สร้างสินค้าใหม่ที่เป็นของประเทศไทย และส่งออกขายได้ทั่วโลก เหมือนกับประเทศญี่ปุ่น ที่รัฐบาลและเอกชนมาคุยกัน ทำให้ได้โครงการที่มีขนาดใหญ่และเป็นผลิตภัณฑ์ที่ออกมาจากประเทศ” สุรเดช กล่าว

สุรเดช กล่าวต่อว่า บริษัทมุ่งพัฒนาและสร้างนวัตกรรมให้แก่องค์กร โดยมีเป้าหมายพัฒนาองค์กรสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจ และต้องการสร้างแบรนด์สินค้าจากประเทศไทยให้ทุกคนในทั่วโลกได้รู้จักมากที่สุด