posttoday

ตลท.เชียร์เก็บหุ้น10ตัวเด่น

10 มิถุนายน 2554

รอราคาวิ่งฉิวเมื่อต่างชาติกลับบล.แนะเพิ่มพอร์ตมาร์จินลด

รอราคาวิ่งฉิวเมื่อต่างชาติกลับบล.แนะเพิ่มพอร์ตมาร์จินลด

หุ้นไทยสร่างไข้ ดัชนีพลิกปิดบวก ต่างชาติยังทิ้งหุ้นตราสารหนี้รวม 9,252 ล้านบาท คาดกระสุนใกล้หมดตลท.แนะเก็บหุ้นใหญ่ปันผลดี บาทอ่อนหนุนหุ้นส่งออกอาหาร

ตลาดหุ้นไทยแสดงอภินิหาร ระหว่างวันดัชนีดิ่งลงแรงหลุด 1,000 จุดตามคาด และไปต่ำสุดที่ 998.39 จุด แต่ภาคบ่ายเห็นดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้าบวกดันตลาดหุ้นเอเชียฟื้น จึงเฮโลไล่ซื้อหุ้นธนาคารพาณิชย์และพลังงานกลับคืน กระชากดัชนีขึ้นปิดสูงสุดของวันที่ 1,016.85 จุด บวก 2.27 จุด มูลค่าการซื้อขายรวม 31,618 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนต่างชาติยังคงขายหนักต่อ 4,388 ล้านบาท และระบายในตลาดตราสารหนี้อีก 4,864 ล้านบาทกดให้เงินบาทอ่อนค่าลงต่อ 30.42 บาท

นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ ผู้ช่วยผู้จัดการ กลุ่มงานผู้ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า นักลงทุนควรอาศัยจังหวะนี้เลือกเก็บหุ้น โดยเฉพาะตัวที่มีค่าความเหวี่ยงสูง (เบตา) มาร์เก็ตแคปสูง 10 อันดับแรก ที่มีสัดส่วนราคาต่อกำไร (พี/อี) ไม่สูง รวมถึงหุ้นที่จ่ายปันผลระหว่างกาลหรือจ่ายทุกไตรมาส 56 ตัว เพราะเป็นหุ้นที่ราคาจะปรับขึ้นเร็วเมื่อต่างชาติ กลับเข้ามาลงทุนรอบใหม่ และทยอยซื้อกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF)

“ต่างชาติได้ทยอยขายหุ้นมาตั้งแต่วันที่ 10 พ.ค. ที่นายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภาและกำหนดการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งเชื่อว่าจะกลับมาลงทุนใหม่ เพราะให้ความสำคัญกับปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก” นายชนิตร กล่าว

ด้านฝ่ายวิจัยบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส (ASP) วิเคราะห์ว่า รอบนี้ต่างชาติจะเหลือแรงขายอีกประมาณ 2,357-5,724 ล้านบาท และน่าจะเริ่มกลับมาซื้อสลับได้ในสัปดาห์หน้า


บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) แนะนำให้นักลงทุนเพิ่มพอร์ตหุ้นเป็น 70-80% โดยให้ทยอยซื้อหุ้นในช่วงดัชนี 1,020 จุด และ 1,000 จุด ซึ่งจะไปทดสอบแนวต้านที่ 1,0401,050 จุด แต่หากไม่ผ่าน 1,040 จุด ให้ขายและถือเงินสด 50%

สำหรับเงินบาทที่อ่อนค่าลงนั้นจะส่งผลบวกต่อกลุ่มส่งออก โดยเฉพาะกลุ่มอาหารส่งออก เช่น บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) บริษัท จีเอฟพีที (GFPT) และบริษัท ไทยยูเนียนโฟรเซ่น โปรดักส์ (TUF)

นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ดัชนีหุ้นที่ปรับตัวลงแรงในช่วงนี้ ส่งผลให้ยอดการใช้สินเชื่อซื้อหุ้น (มาร์จิน) ลดลงจากระดับ 5,000 ล้านบาท เหลือ4,000 ล้านบาท แต่ราคาหุ้นที่ปรับตัวลงยังไม่ถึงจุดที่ต้องบังคับขายหุ้นของลูกค้า (ฟอร์ซเซล)