1.7 หมื่นล้านบาทฟื้นชีพจีเอ็ม ประเทศไทย สุดมั่น...ขอโต 3 เท่าภายใน 3 ปี!!!
หลังเกิดวิกฤตการเงินในบริษัทแม่ จีเอ็ม ประเทศไทย ก็หยุดชะงักโครงการลงทุนออกไป แต่วันนี้พร้อมแล้วที่จะเดินหน้าขยายธุรกิจ 1.7 หมื่นล้าน
หลังเกิดวิกฤตการเงินในบริษัทแม่ จีเอ็ม ประเทศไทย ก็หยุดชะงักโครงการลงทุนออกไป แต่วันนี้พร้อมแล้วที่จะเดินหน้าขยายธุรกิจ 1.7 หมื่นล้าน
โดย...พิสันต์ อิทธิวัฒนกุล
สตีฟ คาร์ไลส์ ประธานกรรมการ บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (ประเทศไทย)
ในที่สุด เจนเนอรัล มอเตอร์ส ประเทศไทย หรือจีเอ็ม ก็หาทางออกให้กลับธุรกิจที่ค้างคามานานนับปี หลังเกิดปัญหาวิกฤตทางการเงินในประเทศสหรัฐอเมริกา และพร้อมที่จะเดินหน้าโครงการต่าง ๆ ที่ค้างคามาจากอดีต
ผู้ที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือจีเอ็มในครั้งนี้ ก็คือธนาคารในประเทศไทย 3 แห่ง ที่ร่วมกันให้กู้ระยะยาว 7 ปีกับทางจีเอ็ม ด้วยวงเงินมูลค่าสูงถึง 1.35 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 409 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ เจนเนอรัล มอเตอร์ส คอมพานี ยังใจป้ำควักเงินสนับสนุนให้อีก 3,890 ล้านบาท หรือประมาณ 118 ล้านดอลลาร์
นั่นก็หมายความว่าเงินหน้าตักที่จีเอ็มมีและพร้อมที่จะใช้เดินหน้าโครงการต่าง ๆ ต่อไปมีมูลค่าถึงกว่า 1.7 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 530 ล้านดอลลาร์ มากกว่าที่จีเอ็ม ประเทศไทยเคยเอ่ยปากอยากได้เสียอีก
การประกาศสัญญาสนับสนุนด้านการเงินในวันนี้ เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่อุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น หลังจากผ่านพ้นช่วงชะลอตัวอย่างรุนแรงมาแล้ว ขณะที่จีเอ็ม ประเทศไทย ก็ได้รับสัญญาณที่ดีในตลาดส่งออกตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2552 ที่ผ่านมา พร้อมกับมีแนวโน้มว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นในปี 2553 รวมไปถึงมีทิศทางที่จะเติบโตต่อไปได้ในอนาคต
ทิม ลี ประธานกรรมการ บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล โอเปอเรชั่นส์ บอกว่าจีเอ็มเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนแห่งนี้อย่างไม่เปลี่ยนแปลง เห็นได้จาก 10 ปีที่ผ่านมาที่บริษัทก่อตั้งโรงงานประกอบรถยนต์ในประเทศไทย สวนทางกับการยกเลิกการลงทุนของผู้ประกอบการรายอื่น แสดงให้เห็นถึงแผนดำเนินงานในระยะยาวและความมุ่งมั่นของจีเอ็ม
นอกจากนี้ จีเอ็มยังแสดงความมุ่งมั่นอีกครั้งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ด้วยการประกาศแผนการสร้างโรงงานผลิตเครื่องยนต์แห่งใหม่ที่ระยอง และแผนการสร้างรถปิกอัพสายพันธุ์ใหม่ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อการขยายธุรกิจของ จีเอ็ม ให้ยิ่งใหญ่ทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน ในขณะเดียวกันเรายังเล็งเห็นถึงโอกาสในการสร้างแบรนด์รถยนต์เชฟโรเลต ให้แข็งแกร่งไปทั่วโลก โดยอาศัยประเทศไทยเป็นฐานการผลิต
ลีบอกว่าการช่วยเหลือจากธนาคารในประเทศไทยในครั้งนี้ จะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นในการดำเนินงาน เพิ่มเสถียรภาพของ จีเอ็ม ใหม่ และแผนการของบริษัทที่จะขยายธุรกิจทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียน ด้วยการสานต่อโครงการสำคัญของบริษัทที่จังหวัดระยองในอนาคตอันใกล้
“จีเอ็มได้ประสบกับอุปสรรคอันท้าทายเหมือนที่ประเทศไทยได้เผชิญ อันเป็นผลพวงมาจากวิกฤติเศรษฐกิจที่แผ่ขยายไปทั่วโลกในช่วงปี 2551 ทุกวันนี้มาตรการแก้ปัญหาได้เริ่มเห็นผลเป็นรูปธรรมแล้วในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และทั่วโลก ซึ่งเป็นนิมิตหมายที่ดี และเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่เราจะเดินหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง”
สตีฟ คาร์ไลส์ ประธานกรรมการ บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (ประเทศไทย) และบริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) บอกว่าการลงนามสัญญาสนับสนุนเงินทุนในครั้งนี้ ถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ของจีเอ็ม ประเทศไทย ที่สามารถหาแหล่งเงินทุนภายในประเทศด้วยตนเอง พร้อมประสานความสัมพันธ์อันดีกับ 3 สถาบันการเงินที่แข็งแกร่งและมีความสำคัญมากที่สุดของประเทศไทย
ทั้งนี้ เงินสนับสนุนที่ได้มา จะถูกนำมาใช้กับโครงการสำคัญ 2 โครงการที่ศูนย์การผลิตรถยนต์ของจีเอ็มที่จังหวัดระยอง ซึ่งได้มีการหยุดการดำเนินการไว้ชั่วคราวในระหว่างเตรียมการรับการสนับสนุนทางการเงินครั้งนี้ โดยโครงการแรกคือโครงการสร้างรถปิกอัพสายพันธุ์ใหม่ และรถยนต์เอนกประสงค์แชสซีรถปิกอัพรุ่นใหม่ ซึ่งจะเป็นผลิตภัณฑ์สำคัญเพื่อการส่งออกสู่ตลาดอาเซียน และในอีกหลายภูมิภาคทั่วโลก
นอกจากนี้ เงินทุนสนับสนุนจะถูกนำมาใช้ในการก่อสร้างโรงงานผลิตเครื่องยนต์ดีเซลแห่งแรกของภูมิภาคอาเซียน ซึ่งจะตั้งอยู่เคียงข้างกับศูนย์การผลิตรถยนต์ของจีเอ็มที่ระยอง โดยจะมีกำลังการผลิตต่อปีจำนวน 1.06 แสนเครื่อง ซึ่งเครื่องยนต์เหล่านี้จะเป็นหัวใจหลักในการขับเคลื่อนให้แก่ยานยนต์หลากหลายรุ่น ที่กำลังจะวางจำหน่ายทั้งในประเทศไทยและในอีกหลายประเทศ
“ทั้ง 2 โครงการนี้ มีเม็ดเงินลงทุนสูงถึงกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท หรือประมาณ 500 ล้านดอลลาร์ โดยจะนำมาใช้ในโรงงานผลิตเครื่องยนต์ดีเซล 150 ล้านดอลลาร์ และนำมาใช้ในการพัฒนารถรุ่นใหม่ 350 ล้านดอลลาร์ คาดว่าในไตรมาส 3 ของปี 2554 จะสามารถเริ่มต้นการผลิตทั้งเครื่องยนต์ดีเซลและรถรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาทำตลาดได้”
คาร์ไลส์บอกว่าความสำเร็จของจีเอ็ม ก็คือความสำเร็จของประเทศไทย ซึ่งการลงทุนครั้งใหม่ของเราจะเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ในการสร้างงานและสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนในประเทศ และขณะที่เจนเนอรัล มอเตอร์ส คอมพานี กำลังก้าวไปข้างหน้าเพื่อคืนสู่ความสำเร็จดังเช่นในอดีต จีเอ็ม ประเทศไทย ก็กำลังเสริมสร้างความเข้มแข็ง สู่การเป็นดีทรอยท์แห่งภูมิภาคตะวันออก ด้วยการลงทุนใหม่ของเราในเวลาเดียวกัน
นอกจากนี้ เขายังบอกอีกว่าความสัมพันธ์ระหว่าง จีเอ็ม ประเทศไทยและสถาบันการเงินทั้งสามสถาบันจะยังยืนคงอยู่ตลอดไป และมั่นใจว่าวัฒนธรรมใหม่และผลประกอบการขององค์กร จะทำให้เราได้รับความไว้วางใจจากพันธมิตรใหม่ทางธุรกิจของเรา ขณะเดียวกัน จีเอ็มจะยึดถือความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญ พร้อมด้วยการดำเนินงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ เพื่อให้ลูกค้าของเราได้ขับรถยนต์และรถปิกอัพที่มีคุณภาพดีที่สุด สิ่งเหล่านี้จะเป็นผลตอบแทนที่ทำให้เรากลับมาแข็งแกร่งอีกครั้งในอนาคต
นายใหญ่จีเอ็มประเทศไทยตั้งเป้าหมายอันท้าทายสำหรับตัวเอง ด้านการจำหน่าย โดยประเมินว่าในปี 2553 จีเอ็ม ประเทศไทยจะมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มเป็น 3-4% จากปีที่ผ่านมาที่ทำได้ 2.8% และตั้งเป้าหมายว่าหลังจากที่มีการเปิดไลน์รถปิกอัพใหม่ จะทำให้บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดรถยนต์ในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอีก 3 เท่าตัวจากในปัจจุบัน หรือคิดเป็นตัวเลขคร่าว ๆ ก็น่าจะอยู่ที่ระดับ 10% ขึ้นไป
“แผนงานของจีเอ็มในวันนี้ไม่ได้เปลี่ยนไปจากการประกาศเปิดโรงงานผลิตเครื่องยนต์ดีเซลเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา เรายังยืนยันว่าประเทศไทยจะเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของบริษัทเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งเราเชื่อว่าแผนงานที่เราวางไว้จะทำให้จีเอ็ม ประเทศไทยมีความเข้มแข็งมากขึ้น ซึ่งเงินทุนที่เราได้มาจะถูกนำไปใช้ในโครงการที่เราบอกเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับรถยนต์นั่งรุ่นใหม่ที่จะเปิดตัวภายใน 12-24 เดือนจากนี้แต่อย่างใด"
และทั้งหมดนี้คือแผนงานหลักของจีเอ็มที่จะต้องเร่งมือทำให้เสร็จอย่างสมบูรณ์แบบ หลังจากที่ร้างราไปจากโครงการใหญ่มานานร่วม 2 ปี ซึ่งหนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกลกว่าจะตัดสินได้ว่าจีเอ็ม ประเทศไทยจะประสบความสำเร็จ และกลับมาสู่ทิศทางการแข่งขันที่ควรจะเป็นได้หรือไม่
ระยะเวลาและผลงานเท่านั้น จะเป็นคำตอบให้กับคำถามเหล่านี้!!!