เปิดใจ แมทธิอัส พฟาลซ์ เบอร์ 1 บีเอ็มฯประเทศไทย
การเข้ามาของนายใหญ่คนนี้ได้ประกาศเป้าหมายที่ชัดเจนกว่าเรื่องเป้าหมายอันดับ 1 ก็คือการเติบโตอย่างมีคุณภาพของบีเอ็มดับเบิลยูในตลาดประเทศไทย
การเข้ามาของนายใหญ่คนนี้ได้ประกาศเป้าหมายที่ชัดเจนกว่าเรื่องเป้าหมายอันดับ 1 ก็คือการเติบโตอย่างมีคุณภาพของบีเอ็มดับเบิลยูในตลาดประเทศไทย
โดย...พิสันต์ อิทธิวัฒนกุล
เข้ามารับตำแหน่งในประเทศไทยอย่างเป็นทางการหลังเทศกาลปีใหม่ปีนี้ สำหรับ แมทธิอัส พฟาลซ์ ประธานบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ผู้ที่จะเข้ามาแบกรับภารกิจการผลักดันค่ายรถเจ้าของโลโก้ใบพัดฟ้าขาว ให้มียอดจำหน่ายเหนือกว่าคู่แข่งตลอดกาลอย่างเมอร์เซเดส-เบนซ์ให้จงได้
อย่างไรก็ตาม การเข้ามาของนายใหญ่คนนี้ได้ประกาศเป้าหมายที่ชัดเจนกว่าเรื่องเป้าหมายอันดับ 1 ก็คือการเติบโตอย่างมีคุณภาพของบีเอ็มดับเบิลยูในตลาดประเทศไทย ซึ่งเป็นนโยบายและแผนงานหลักในช่วงที่เขาคนนี้กุมบังเหียน
“ในปี 2554 เราจะเน้นด้านการให้บริการลูกค้าเป็นสำคัญ ทั้งในด้านการนำเสนอผลิตภัณฑ์ ด้านการบริการหลังการขาย และการบริการทางการเงิน เพื่อให้การเติบโตของเราเป็นไปอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน”
แมทธิอัส พฟาลซ์
พฟาลซ์ อธิบายเพิ่มเติมว่า ในด้านผลิตภัณฑ์ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย จะดำเนินกลยุทธ์เชิงรุกอย่างต่อเนื่อง มุ่งเน้นการนำเสนอเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่เหนือชั้น และจะขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั้งในส่วนตลาดหลักสำหรับรุ่นประกอบในประเทศ และตลาดรถนำเข้า
เป็นที่มาของแผนงานในการเปิดตัวซีรีส์ 6 คอนเวิร์ตทิเบิลใหม่ เอ็กซ์ 3 ใหม่ และเอ็กซ์ 1 เครื่องยนต์เบนซิน ซึ่ง 2 รุ่นหลังจะขึ้นไลน์ประกอบที่โรงงานของบีเอ็มดับเบิลยูที่ จ.ระยอง นอกจากนี้ก็จะมีการเปิดตัวมินิ คอนเนกส์ ระบบอินเทอร์เน็ตบนรถยนต์มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด เค 1600 จีทีแอล ซึ่งเป็นรถจักรยานยนต์เครื่องยนต์ 6 สูบรุ่นแรกของบริษัท
ในส่วนของกลยุทธ์การวางตำแหน่งสินค้าและการตั้งราคา บีเอ็มดับเบิลยูจะเน้นที่ความคุ้มค่าเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่แตกต่างกัน ซึ่งจะช่วยสร้างความสมดุลของอุปสงค์และอุปทาน เพื่อรักษาและเพิ่มมูลค่าราคารถมือสองในตลาดอย่างต่อเนื่อง
รวมไปถึงแผนงานด้านการขยายและการพัฒนาตัวแทนจำหน่ายและศูนย์บริการ ซึ่งในปีนี้วางแผนจะขยายเพิ่ม 2 สาขาใน กทม. ที่รองเมือง และพระราม 3 ขณะเดียวกันก็มีแผนที่จะเพิ่มคุณภาพและขีดความสามารถในการให้บริการของโชว์รูมต่างจังหวัด ซึ่งก็รวมถึงการอัพเกรดให้สามารถให้บริการรถยนต์มินิ และมอเตอร์ราดได้เพิ่มขึ้น
“นอกจากนี้ บริษัทยังเพิ่มศักยภาพของบุคลากรของตัวแทนจำหน่ายและศูนย์บริการ โดยศูนย์ฝึกอบรมบุคลากร บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป เทรนนิง อะคาเดมี ได้พร้อมดำเนินงานเต็มรูปแบบทั้งในส่วนของการอบรมด้านเทคนิค และด้านการบริหารระบบการให้บริการ สำหรับทั้งในส่วนการขาย และบริการหลังการขาย”
พฟาลซ์ ยังได้พูดถึงแคมเปญ JOY ซึ่งจะเริ่มโครงการที่ 2 ในช่วงต้นปี 2554 ว่า เป็นการต่อยอดโครงการ JOY IS BMW ในปีก่อนหน้า ที่ประสบความสำเร็จในการขยายแบรนด์ของบีเอ็มดับเบิลยูให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคในวงกว้าง ซึ่งส่งผลให้แบรนด์บีเอ็มดับเบิลยูได้ขึ้นเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มพรีเมียม จากการสำรวจความนิยมหลายชิ้น
“ในปีนี้แคมเปญต่อยอดที่เราเรียกว่า JOY 2.0 จะขยายบริบทเพื่อให้ครอบคลุมความโดดเด่นของบีเอ็มดับเบิลยู โดยเฉพาะในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมล้ำสมัย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคในผลิตภัณฑ์ที่เหนือชั้นของบีเอ็มดับเบิลยู ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างชื่อเสียงให้กับบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ในปัจจุบัน”
ทั้งนี้ นายใหม่ค่ายบีเอ็มดับเบิลยู ประเมินว่าหากไม่มีผลกระทบทางการเมืองอย่างรุนแรง ตลาดรถยนต์หรูหราในประเทศไทยน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นไม่น้อยกว่า 1 หมื่นคันในปีนี้ จากที่ทำได้ขาดไปเพียง 300-400 คัน ก็จะครบในปีที่ผ่านมา
โดยบีเอ็มดับเบิลยูมีภารกิจในการก้าวข้ามยอดจำหน่าย 3,422 คัน ในปีที่ผ่านมาไปให้ได้ เพื่อที่จะได้เข้าใกล้เป้าหมายการตามล่าอันดับ 1 ในตลาดรถยนต์พรีเมียมในประเทศไทยเสียที!!!