‘เกรียงไกร เธียรนุกุล' ขึ้นแท่นประธานส.อ.ท.คนใหม่ มุ่งขับเคลื่อน 45 อุตสาหกรรมเป็นหนึ่งเดียว

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมไทย(ส.อ.ท.) ได้เปิดวิสัยทัศน์ในโอกาสรับตำแหน่งประธานส.อ.ท.คนที่ 16 ว่า ยังคงสานต่องานจากคณะกรรมการบริหารชุดเดิมเพื่อให้มีความต่อเนื่อง โดยเฉพาะการสร้างความแข็งแกร่งให้กับภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากภาคการผลิตถือเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคส่งออก ที่คาดการณ์ปี 2565 จะเติบโต 5-10% จากปีที่ผ่านมาที่การส่งออกทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์

ทั้งนี้ต้องการให้ส.อ.ท.เป็นหนึ่งเดียวกัน หรือ ONE F.T.I.  มีเป้าหมายร่วมกันที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จด้วย One Vision, One Goal and OneTeam  ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิก 1.4 หมื่นบริษัท โดยมุ่งขับเคลื่อน 45 กลุ่มอุตสาหกรรมเดิมให้เดินหน้าต่อ และวางเป้าหมายพัฒนา Next Gen Industry ทั้งอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ (S-Curve) BCGฯลฯ เหล่านี้ต้องส่งเสริมเพื่อให้ก้าวทันโลก

นอกจากนี้ยังเดินหน้าพัฒนาและยกระดับให้วิสาหกิจขนาดกลางและย่อม(เอสเอ็มอี)มีความเข้มแข็งทั้งการพัฒนาการตลาด เทคโนโลยีฯลฯ  ขณะเดียวกันยังจะผลักดันให้เกิดการพัฒนา 1 อุตสาหกรรม 1 จังหวัดโดยทางส.อ.ท.แต่ละจังหวัดจะไปหารือทางจังหวัดนั้นๆ แล้วกำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมายในการพัฒนาโดยส.อ.ท.จะดึงศักยภาพของ 45 กลุ่มอุตสาหกรรมเข้ามาร่วมยกระดับและพัฒนา รวมถึงมุ่งการพัฒนาโครงการส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรอัจฉริยะ(Smart Agriculture Industry) หรือ SAI ที่จะนำร่อง SAI In The City ที่กทม.โดยเน้นการทำ Plant Based ซึ่งเป็นอาหารที่จะทำจากพืชเพื่อทดแทนเนื้อสัตว์ ฯลฯโดยโครงการนี้จะสอดรับกับนโยบาย BCG โมเดลเป็นต้น

ขณะเดียวกันต้องเร่งแก้ปัญหาปัจจัยเสี่ยงที่ภาคอุตสาหกรรมกำลังเผชิญหลายด้าน โดยเฉพาะปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบและชิ้นส่วนดังนั้นเพื่อสร้างความมั่นคงด้านห่วงโซ่การผลิตส.อ.ท.จะมีการรวมกลุ่มกันเพื่อที่จะร่วมพัฒนาการผลิตชิ้นส่วนและวัตถุดิบเพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้า ฯลฯ 

“สิ่งที่ส.อ.ท.กังวลขณะนี้คือระดับราคาน้ำมันดีเซลที่กำลังจะสูงขึ้นที่จะสะท้อนไปยังต้นทุนค่าขนส่งวันที่ 1 พ.ค.ให้ต้องปรับขึ้นนั้นจะเป็นแรงกดดันต่อระดับราคาสินค้าที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นอีกและจะส่งผลต่อภาวะอัตราเงินเฟ้อทั่วไปให้สูงขึ้นอีก ดังนั้นในการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.)เดือนพ.ค.นี้จะมีการหยิบยกประเด็นดังกล่าวเพื่อหารือร่วมกัน” นายเกรียงไกรกล่าว