posttoday

‘บิ๊กตู่’คิ๊กออฟท่าเรือมาบตาพุดเฟส 3 ดึงลงทุนโซนตะวันออก

27 กุมภาพันธ์ 2565

นายกฯ เตรียมเปิดท่าเรือมาบตาพุดเฟส 3 ช่วงที่ 1 ลงทุนกว่า 4.7 หมื่นลบ. 28 ก.พ.นี้ เดินหน้าพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก ปักหมุดฮับโลจิสติกสาในอาเซียน

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า ในวันที่ 28 ก.พ. นี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมติดตามความคืบหน้าโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนนโยบายที่สำคัญของรัฐบาล เพื่อเดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน โดยนายกรัฐมนตรี กำหนดเป็นประธานเปิดโครงการฯ ระยะที่ 3 (ช่วงที่ 1) ณ สำนักงานท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดจังหวัดระยองผ่านระบบออนไลน์

สำหรับโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดเตรียมโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการขนส่งทางน้ำสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมและรองรับการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกโดยจะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถและเพิ่มความจุในการขนถ่ายก๊าซธรรมชาติและสินค้าเหลวให้บริการรูปแบบท่าเทียบเรือสาธารณะมีเนื้อที่ประมาณ 1,000 ไร่ แบ่งเป็นพื้นที่หน้าท่า 550 ไร่ และพื้นที่หลังท่า 450 ไร่ ความยาวหน้าท่ารวมกัน 2,229 เมตร เป็นท่าเรืออุตสาหกรรมที่มีขนาดใหญ่และทันสมัยมีการให้บริการแบบเบ็ดเสร็จครบวงจร สามารถรองรับเรือบรรทุกขนาด 264,000 DWT เปิดให้บริการ 12 ท่า (ท่าเรือสาธารณะ 2 ท่า และท่าเรือเฉพาะกิจ 10 ท่า)

ทั้งนี้มีเอกชน 19 ราย เช่าดำเนินการเป็นท่าเรือ คลังน้ำมัน คลังสินค้า และโรงไฟฟ้า มีมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้น 55,400 ล้านบาท แบ่งเป็น 2 ช่วง คือ  ช่วงที่ 1 เป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) มูลค่าลงทุน 47,900 ล้านบาท และช่วงที่2จะเป็นการลงทุนพัฒนาก่อสร้างในส่วนของท่าเรือ(Superstructure)ซึ่งจะเปิดทีโออาร์ภายหลังใช้เงินลงทุนประมาณ 4,300 ล้านบาท และงานก่อสร้างพื้นที่หลังท่า จำนวน 150ไร่เงินลงทุน 3,200 ล้านบาท  

“ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด เป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานของการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก เพื่อรองรับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เช่น อุตสาหกรรมปิโตรเลียมเคมีและเคมีภัณฑ์ อุตสาหกรรมเหล็กครบวงจรอุตสาหกรรมพลังงาน (น้ำมันและก๊าซ) ก่อให้ประโยชน์ทั้งในมิติเศรษฐกิจ ได้แก่ การเป็นศูนย์กลางคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ทางน้ำของอาเซียนสู่เศรษฐกิจนานาชาติ และการบินสู่ประตูการค้า และมิติสังคม ได้แก่ การพัฒนาพื้นที่ท้องถิ่นในด้านการจ้างงาน การพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนและสร้างงานสร้างรายได้ต่อไป” นายธนกรกล่าว