posttoday

มอง5ปัจจัยหนุน ตลาดเครื่องจักรกลเกษตรปี64 กว่า8หมื่นล.โตสุดรอบ5ปี

15 มกราคม 2565

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย วิเคราะห์ตลาดเครื่องจักรกลการเกษตรไทยปี64 เติบโตสุดในรอบ 5 ปี กว่า8.3 หมื่นล.บาท คาดปี65 จะยังขยายแบบชะลอตัว จากความต้องการยังสูง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผยผลวิเคราะห์ ตลาดเครื่องจักรกลการเกษตรของไทยปี 2564 ให้ภาพการเติบโตสูงสุดในรอบ 5 ปี สะท้อนจาก ดัชนีการส่งสินค้าในหมวดเครื่องยนต์ดีเซลเพื่อการเกษตรในช่วง 11 เดือนแรกของปีที่ขยายตัวกว่าร้อยละ 42.1[1] (YoY) จากปัจจัยผลักดันสำคัญในฝั่งของอุปสงค์ที่เกษตรกรมีรายได้ในเกณฑ์ดี

อีกทั้ง Pent Up Demand ที่พุ่งขึ้น ทำให้มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรของไทยในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และราคาสินค้าเกษตรในประเทศขยายตัวดี

นอกจากนี้ จำนวนแรงงานกลับถิ่นที่ขยายตัวเร่งขึ้น รวมถึงสภาพภูมิอากาศที่เอื้อต่อการเพาะปลูกจากปริมาณน้ำฝนที่อยู่ในเกณฑ์ดี ล้วนเป็นปัจจัยหนุนอุปสงค์ของตลาดเครื่องจักรกลการเกษตรไทยให้ขยายตัวได้ดี

โดยคาดว่าตลาดเครื่องจักรกลการเกษตรของไทย (ผลิตเอง[6]+นำเข้า) ในปี 2564 อยู่ที่ราว 83,269 ล้านบาท หรือขยายตัวร้อยละ 22.5 (YoY) นับเป็นการเติบโตสูงสุดตั้งแต่ปี 2559 ที่ใช้เป็นปีฐาน ซึ่งเป็นดัชนีที่ยังไม่ปรับผลกระทบของฤดูกาล (ข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม)

นอกจากนี้ ยังสอดคล้องไปกับปริมาณการจำหน่ายเครื่องจักรและอุปกรณ์ในประเทศช่วง 11 เดือนแรกของปีที่ขยายตัวร้อยละ 20 (YoY) (ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย)[2] ช่วง 11 เดือนแรกของปี 2564 รายได้เกษตรกรขยายตัวร้อยละ 5.3 (YoY) (ข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร)[3] ตัวเลขในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2564 มีมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรของไทยในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 23.7 (YoY) และราคาสินค้าเกษตรในประเทศขยายตัวร้อยละ 3.6 (YoY) (ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร)[4] เป็นแรงงานกลับถิ่นที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19

โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 จำนวนแรงงานกลับถิ่นขยายตัวเร่งขึ้นร้อยละ 2.0 (YoY) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานที่อยู่ในวัยหนุ่มสาวและพอมีกำลังซื้ออยู่บ้าง จึงเป็นการลงทุนซื้อเครื่องจักรกลการเกษตรในรูปแบบของการลงขันกันเป็นหลัก หรือมีการผ่อนชำระในอัตราพิเศษจากสินเชื่อของผู้ขายรายใหญ่ (สำนักงานสถิติแห่งชาติ)[5] ปริมาณน้ำฝนสะสมเฉลี่ยทั้งประเทศในปี 2564 มากกว่าปี 2563 ที่ร้อยละ 12.8 (กรมอุตุนิยมวิทยา)   [6] ประกอบด้วยรถแทรกเตอร์และรถเก็บเกี่ยว

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองมูลค่าตลาดเครื่องจักรกลการเกษตรของไทยในปี 2565 อาจอยู่ที่ราว 84,600-87,900 ล้านบาท หรือขยายตัวร้อยละ 1.6-5.6 (YoY) นับเป็นการขยายตัวที่ชะลอลงหลังจากน่าจะผ่านจุดสูงสุดมาแล้วในปี 2564 ซึ่งจะยังเป็นการขยายตัวบนฐานที่สูง และสูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ 73,256ล้านบาท (ปี 2559-2563) โดยปัจจัยหนุนที่ทำให้ตลาดเครื่องจักรกลการเกษตรยังขยายตัวต่อไปได้คงมาจากปัจจัยด้านอุปสงค์เดิมที่มีต่อเนื่องจากปีก่อน แต่คงชะลอลง

โดยมีรายละเอียด ดังนี้

Pent Up Demand ที่คลี่คลายมากขึ้น สะท้อนผ่านมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรของไทยที่น่าจะขยายตัวชะลอลงมาอยู่ที่ร้อยละ 2.0-5.8 (YoY) และราคาสินค้าเกษตรในประเทศที่อาจขยายตัวชะลอลงมาอยู่ที่ร้อยละ 0.8-2.9 (YoY) แรงงานกลับถิ่นที่น่าจะมีจำนวนน้อยลงเมื่อเทียบกับปีก่อนจากการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ อีกทั้งยังขึ้นอยู่กับกำลังซื้อของแต่ละบุคคล

โดยเกษตรกรบางส่วนอาจมีการลงทุนซื้อไปแล้วในปีก่อน และยังขึ้นอยู่กับการประเมินความคุ้มค่าที่จะลงทุนซื้อเครื่องจักรใหม่ ล้วนส่งผลต่ออุปสงค์ให้อาจชะลอลง

ผลผลิตทางการเกษตรในระดับสูงใกล้เคียงปีก่อน เนื่องจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการผลิตและการสนับสนุนจากภาครัฐ ที่ต่อเนื่อง ทั้งในรูปแบบของการช่วยเหลือเกษตรกรเฉพาะหน้าอย่างโครงการประกันรายได้เกษตรกร การสนับสนุนการใช้เครื่องจักรกลการเกษตรอย่างสินเชื่อเครื่องจักรกลการเกษตรจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร โครงการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI รวมถึงแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลไทย ระยะที่1 (ปี 2565-2570) ล้วนจูงใจให้เกษตรกรยังมีความต้องการผลิตสินค้าเกษตรต่อเนื่องจากปีก่อน

อย่างไรก็ดี คงต้องจับตาสถานการณ์โควิด-19 จากเชื้อกลายพันธุ์ (Omicron) ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งอาจกระทบต่ออุปสงค์และส่งผลต่อตัวเลขคาดการณ์มูลค่าตลาดให้ต่ำกว่า กรอบล่างที่ประเมินได้

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ในปี 2565 ตลาดเครื่องจักรกลการเกษตรน่าจะเติบโตต่อไปได้สอดคล้องกับอุปสงค์ในสินค้าเกษตรที่มีราคาอยู่ในเกณฑ์ดี เช่น ยางพารา มันสำปะหลัง ผลไม้ (ทุเรียน) และอ้อย (เทรนด์โลกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น จะทำให้เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยต้องปรับตัวด้วยการหันมาใช้เครื่องจักรทดแทน แรงงานมากขึ้น เช่น เครื่องเก็บเกี่ยวอ้อย เพื่อลดการเผาอ้อยที่จะก่อให้เกิดภาวะฝุ่น/มลพิษทางอากาศ)

ขณะที่สินค้าเกษตรที่แม้จะมีราคาไม่สูงนัก แต่อาจกระเตื้องขึ้นได้และมีความสำคัญต่อเกษตรกรจำนวนมากอย่างข้าว นับว่าจะยังเป็นสินค้าเกษตรที่ช่วยหนุนอุปสงค์เครื่องจักรกลการเกษตรของไทยโดยเฉพาะรถแทรกเตอร์และเครื่องเก็บเกี่ยวข้าว

นอกจากนี้ จากเทรนด์โลกที่หันมารักสุขภาพมากขึ้น จะช่วยหนุนให้พืชเกษตรอย่างสมุนไพร กัญชง ข้าวออร์แกนิค ให้มีราคาอยู่ในระดับสูงประกอบกับความต้องการใช้เครื่องจักรกลการเกษตรที่มีเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อลดข้อจำกัดด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะช่วยหนุนให้เครื่องจักรกลการเกษตรอย่างโรงงานผลิตพืชการปลูกพืชในระบบปิด โดรนเพื่อการเกษตร เครื่องจักรที่นำระบบ

แม้คาดว่าในฝั่งของอุปสงค์จะเป็นปัจจัยหนุนสำคัญที่ผลักดันตลาดเครื่องจักรกลการเกษตรของไทยในปี 2565 ให้ไปต่อได้ แต่คงต้องจับตาปัจจัยเสี่ยงด้านอุปทานหรือผู้ผลิต/ผู้จัดจำหน่ายเครื่องจักรกล การเกษตรที่อาจต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

โดยเฉพาะการแข่งขันด้านราคาเครื่องจักรกลการเกษตรจากจีนที่ถูกกว่าไทย ต้นทุนการผลิตอย่างราคาน้ำมันและเหล็กในตลาดโลกที่มีแนวโน้มอยู่ในระดับสูง ล้วนส่งผลกระทบต่ออุปทานและอาจส่งผลต่อภาพรวมตลาดเครื่องจักรกลการเกษตรของไทยให้เติบโตไปได้อย่างระมัดระวัง

ดังนั้น แนวทางการปรับตัวของผู้ประกอบการเครื่องจักรกลการเกษตร ทั้งในส่วนของผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายเครื่องจักรกลการเกษตรไทยใน

ระยะข้างหน้าคือ การวิจัยและพัฒนาเครื่องจักรกลการเกษตรที่ตรงตามความต้องการของตลาดและสอดคล้องไปกับการใช้งานที่เหมาะสมในแต่ละสภาพพื้นที่ปลูกของพืช ควบคู่ไปกับเทรนด์ที่มุ่งสู่การใช้เทคโนโลยีขั้นสูง อันจะเป็นการยกระดับไปสู่การผลิตแบบเกษตรสมัยใหม่ เช่น การนำระบบ Automation/AI/IoTs/Sensors เข้ามาใช้ร่วมด้วยในพื้นที่เกษตรของไทยที่ส่วนใหญ่มีขนาดเล็กและถือครอง ด้วยเกษตรกรรายย่อย

ดังนั้น จึงควรเป็นราคาเครื่องจักรกลการเกษตรที่เกษตรกรเข้าถึงได้ง่ายและสามารถทำให้เกิดการประหยัดต่อขนาดได้ เช่น รถแทรกเตอร์อัตโนมัติ/ไร้คนขับเพื่อใช้ในแปลงนาข้าวขนาดเล็ก-กลาง หรือหุ่นยนต์เก็บเกี่ยวผลไม้อัตโนมัติที่สามารถใช้งานได้ในพื้นที่ไม่ใหญ่นักเป็นต้น

นอกจากนี้ การแสวงหาพันธมิตรทางธุรกิจที่มีความรู้เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยี และการพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับการซ่อมบำรุงเครื่องจักรที่จะมีความทันสมัยและซับซ้อนมากขึ้น ก็นับว่ามีความสำคัญเช่นกัน