posttoday

'แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์' เปิดโครงการฯใหม่รับต้นปี65 เพิ่ม50% ปลุกอสังหาฯ คึกคัก

13 มกราคม 2565

'แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์' เดินหน้าอสังหาฯ ปี65 เปิดโครงการฯใหม่เพิ่ม 50% วางเป้ายอดขาย 3.1 หมื่นล.บาท เป้ารับรู้รายได้จากยอดโอนฯ 3.3 หมื่นล.บาท

นายนพร สุนทรจิตต์เจริญ ประธานคณะกรรมการบริษัท บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี2565 นี้ บริษัทวางแผนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในต้นปี มีจำนวนโครงการฯใหม่ 15 โครงการ มูลค่ารวม 29,520 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50% เมื่อเทียบกับการเปิดโครงการใหม่ในปี 2564 แบ่งเป็นโครงการในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล 12 โครงการ และต่างจังหวัด 3 โครงการ ประกอบด้วย โครงการบ้านเดี่ยว 11โครงการ, โครงการบ้านแฝด 4โครงการ, โครงการทาวน์เฮ้าส์ 2 โครงการ, โครงการคอนโดมิเนียม 1โครงการ

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้เตรียมงบลงทุนไว้ทั้งหมดประมาณ 10,000 ล้านบาท ประกอบด้วย งบสำหรับการซื้อที่ดินเพื่อการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย 6,000 ล้านบาท งบลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่า 4,000 ล้านบาท รวมทั้งมีแผนที่จะขายอะพาร์ตเม้นต์ในสหรัฐอเมริกา และยังหาโอกาสที่จะลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติม โดยบริษัทฯ เตรียมมีแผนออกหุ้นกู้อีกจำนวน 14,000 ล้านบาท และคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนจะอยู่ในระดับที่ลดลงจากสิ้นปี 2564 โดยอยู่ในระดับที่ไม่เกิน 100%

นายนพร กล่าวว่าสำหรับแผนดำเนินงานในปี 2564 ที่ผ่านมา ประกอบด้วย เปิดโครงการใหม่ 10 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 19,680 ล้านบาท มีการใช้จ่ายด้านการลงทุนประมาณ 9,000 ล้านบาท แบ่งเป็น ซื้อที่ดินเพื่อการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อขาย 5,100 ล้านบาท ลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่าโดยผ่านบริษัท LHMH และ LH USA จำนวน 3,900 ล้านบาท ประกอบด้วย พัฒนาศูนย์การค้า Terminal 21 Rama 3 1,285 ล้านบาท พัฒนาธุรกิจโรงแรมและอะพาร์ตเม้นต์ 2,615 ล้านบาท

ขณะเดียวกันในปี 2564 บริษัท LHMH มีโครงการที่ดำเนินการแล้วและอยู่ระหว่างพัฒนาทั้งหมด 6 โครงการ และยังมีอีก 1 โครงการที่รอการส่งมอบที่ดิน คือแปลงที่ดิน Peninsula Plaza ซึ่งจะพัฒนาเป็นโครงการ Grande Centre Point Ratchadamri 2 โดยเมื่อเดือนธันวาคม 2564 บริษัท LH USA ได้เข้าซื้อโรงแรม The SpringHill Suites by Marriott ในเมืองอนาไฮม์ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เป็นการซื้อขาดและได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ในที่ดิน พื้นที่ 2.07 เอเคอร์ จำนวนห้องพัก 120 ห้อง ราคา 31 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1,056 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังดำเนินการออกหุ้นกู้ มูลค่ารวม 16,000 ล้านบาท ระยะเวลา 2-3 ปี อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 1.40% ต่อปี ทำให้ ณ สิ้นปี 2564 หนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิ มีจำนวน 50,800 ล้านบาท โดยมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน 101% ต้นทุนทางการเงินเฉลี่ย 2.15%

ขณะที่ยอดขายของบริษัทในปี 2564 พบว่า สินค้าประเภทบ้านแนวราบ ซึ่งได้แก่ บ้านเดี่ยว บ้านแฝดและทาวน์เฮ้าส์ ยังคงเป็นสินค้าหลักที่สร้างยอดขายให้กับบริษัทฯ โดยสัดส่วนการขายของบ้านแนวราบและคอนโดมิเนียม คือ 97%: 3% เมื่อจำแนกตามพื้นที่ กรุงเทพและปริมณฑลยังคงเป็นพื้นที่หลักในการก่อให้เกิดยอดขาย และสัดส่วนยอดขายของโครงการในกรุงเทพและปริมณฑลเปรียบเทียบกับยอดขายของโครงการในต่างจังหวัด คือ 92%: 8% ซึ่งสัดส่วนระดับราคาของบ้านที่ต่ำกว่า 10 ล้านบาทและสูงกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไป มีสัดส่วนในการก่อให้เกิดยอดขายใกล้เคียงกัน คือ 53%: 47%

ทั้งนี้รวมโครงการที่ดำเนินการในระหว่างปี 2564 มีจำนวนทั้งหมด 85 โครงการ มีโครงการปิดระหว่างปี 11 โครงการ ดังนั้น ณ สิ้นปี 2564 มีโครงการที่ยกไปดำเนินการต่อในปี 2565 เป็นจำนวน 74 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 53,300 ล้านบาท

โดยแผนการดำเนินงาน ในปี 2565 บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขาย (Booking) 31,000 ล้านบาท และเป้าหมายรับรู้รายได้จากยอดโอนกรรมสิทธิ์ 33,000 ล้านบาท