posttoday

กฟผ.ผนึกหน่วยงานชั้นนำไทย-สหรัฐฯ รุกพลังงานไฮโดรเจนเปิดทางพลังงานทางเลือกใหม่

21 ธันวาคม 2564

Bloom Energy- ATE- กฟผ. และ เอ็กโก กรุ๊ป ลงนามเอ็มโอยูพัฒนาไฮโดรเจนผลิตไฟฟ้าแหล่งเชื้อเพลิงทางเลือกหนุน Carbon Neutrality

นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน  เปิดเผยว่า บริษัท Bloom Energy Corporation บริษัท เอ ที อี จำกัด การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการใช้พลังงานที่ไม่ทำให้เกิดคาร์บอนไดออกไซด์และพัฒนาพลังงานไฮโดรเจน ด้วยเทคโนโลยีเซลล์เชื้อเพลิงชนิดออกไซด์แบบแข็งและเทคโนโลยีแยกน้ำด้วยไฟฟ้า เพื่อสนับสนุนการดำเนินการลดคาร์บอนไดออกไซด์ของประเทศไทยและการเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้ไฮโดรเจน

ทั้งนี้กระทรวงพลังงานได้ออกแผนพลังงานชาติ เพื่อกำหนดนโยบายพลังงานให้สอดคล้องกับเป้าหมาย โดยด้านพลังงานไฟฟ้า มุ่งเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนและพลังงานสะอาดของโรงไฟฟ้าใหม่ให้มีสัดส่วนไม่น้อยกว่า 50% พร้อมสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า พัฒนาและปรับปรุงเทคโนโลยีระบบไฟฟ้า เพื่อสนับสนุนการผลิตไฟฟ้าแบบกระจายศูนย์ในระบบไมโครกริด

ด้านก๊าซธรรมชาติ เน้นการเปิดเสรีและการซื้อขายเพื่อสร้างเสถียรภาพให้กับระบบพลังงานของประเทศ พร้อมทั้งวางแผนสร้างสมดุลระหว่างการผลิตภายในประเทศและการนำเข้า แอลเอ็นจีเพื่อมุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางตลาดซื้อขาย

ด้านน้ำมัน ต้องให้ความสำคัญกับการจัดการด้านการเปลี่ยนผ่าน เพื่อสร้างสมดุลระหว่างผู้ใช้เชื้อเพลิงชีวภาพและผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้า สำหรับการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานหมุนเวียน ทุกภาคส่วนจะได้รับการสนับสนุนให้ผลิตและใช้พลังงานหมุนเวียน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน

นายบุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร ผู้ว่าการ กฟผ. กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างไทยและสหรัฐฯ โดยในส่วนของไทย ได้ตอบสนองต่อนโยบายโดยจัดหาเทคโนโลยีผลิตไฟฟ้าใหม่ ซึ่งปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์และนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาพัฒนาในไทย และเอ็กโก กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานของไทย ที่ กฟผ. เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่

รวมถึง บริษัท เอ ที อี จำกัด ซึ่งเป็นผู้ให้บริการชั้นนำด้านพลังงาน รวมถึงให้บริการติดตั้งในด้านพลังงานหมุนเวียน และมีการผลิตพลังงานในรูปแบบ Green Hydrogen และในส่วนของสหรัฐ ฯ โดยบริษัท Bloom Energy Corporation ในฐานะผู้ผลิตอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงไฮโดรเจน ด้วยเทคโนโลยี SOFC และ SOEC ซึ่งจะมาช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ผ่านการปรับปรุงระบบโครงข่ายไฟฟ้าให้สะอาดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ทั้งนี้ ความร่วมมือดังกล่าวจะเป็นการพัฒนาและนำไปสู่เทคโนโลยีพลังงานทางเลือกใหม่ที่จะนำมาใช้ในการพัฒนาโรงไฟฟ้าในประเทศไทย เพื่อให้เกิดการดำเนินการที่สนับสนุนไปสู่เป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ และขยายไปถึงประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอนาคต

นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอ็กโก กรุ๊ป กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้นับเป็นโอกาสอันดียิ่งของเอ็กโก กรุ๊ป ที่จะได้ร่วมแสวงหาโอกาสการลงทุนในเทคโนโลยี SOFC และ SOEC เพื่อเป็นทางออกในการผลิตพลังงานไฟฟ้าในรูปแบบใหม่ในประเทศไทยและอาเซียน ซึ่งเทคโนโลยีนี้มีความน่าสนใจ มีประสิทธิภาพสูง มีความน่าเชื่อถือ มีราคาที่แข่งขันได้ และคาดว่าจะสามารถนำมาใช้แทนระบบผลิตไฟฟ้าทั่วไปแบบพลังงานความร้อนร่วมในอนาคต

นอกจากนี้ ความร่วมมือดังกล่าวยังสอดคล้องกับทิศทางการดำเนินธุรกิจของเอ็กโก กรุ๊ป “Cleaner, Smarter and Stronger to Drive Sustainable Growth” เพื่อบรรลุเป้าหมาย ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี ค.ศ. 2050 ซึ่งเป็นทิศทางเดียวกับประชาคมโลกที่มุ่งหน้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ

ด้าน Mr.Tim Schweikert กรรมการผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายพัฒนาธุรกิจระหว่างประเทศ บริษัท Bloom Energy Corporation กล่าวว่า ความร่วมมือนี้เป็นไปเพื่อแสวงหาแนวทางในการเร่งการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของประเทศไทยสู่พลังงานสะอาด โดยกำหนดกรอบการดำเนินงานเพื่อการพาณิชย์ การใช้งาน และการสนับสนุนเทคโนโลยี SOFC และ SOEC

สำหรับการบูรณาการพลังงานสะอาดและไฮโดรเจนทั่วประเทศ ด้วยความจำเป็นอย่างเร่งด่วนในการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลก Bloom Energy ขอชื่นชม กฟผ. ATE และ เอ็กโก กรุ๊ป ที่มุ่งมั่นสู่พลังงานสะอาดเพื่ออนาคต และพร้อมที่จะนำเทคโนโลยีพลังงานสะอาดและเชื่อถือได้มาสู่ประเทศไทย

นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ ประธานกรรมการ บริษัท เอ ที อี จำกัด กล่าวว่า เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ ATE ได้ร่วมลงนามใน MOU นี้ และนําเทคโนโลยี SOFC และ SOEC ของ Bloom Energy มาสู่ประเทศไทย เราหวังว่าจะนําเทคโนโลยี SOFC และ SOEC ล่าสุดมาสู่ประเทศไทย เพื่ออํานวยความสะดวกในการผลิตไฟฟ้าให้สอดคล้องกับความต้องการด้านสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนในปัจจุบันโดยร่วมมือกับ กฟผ. ซึ่งเป็นผู้นําในการผลิตไฟฟ้าในประเทศไทย

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา กฟผ. ได้ประกาศนโยบายมุ่งสู่ EGAT Carbon Neutrality ภายในปี ค.ศ. 2050 โดยการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน และลดการใช้เชื้อเพลิงจากฟอสซิล ได้แก่ การมุ่งเดินหน้าโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ลอยน้ำไฮบริด ซึ่งได้มีพิธีเปิดไปแล้วเป็นที่แรก ณ เขื่อนสิรินธร จ.อุบลราชธานี พร้อมกับมีแผนที่จะปรับปรุงระบบโครงข่ายไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด รวมทั้งการลดใช้คาร์บอนในภาคพลังงาน และยังดำเนินโครงการปลูกป่าล้านไร่อย่างมีส่วนร่วม ซึ่งเป็นโครงการระยะยาว 10 ปี อีกด้วย