posttoday

ดัชนีเชื่อมั่นหอการค้าไทยจีน จับสัญญาณศก.ไทยเริ่มฟื้นไตรมาสแรกปี’65

08 ธันวาคม 2564

นักธุรกิจไทยจีน มองศก.ไทยผ่านจุดต่ำสุดแล้ว คาดดีขึ้นชัดเจนกลางปีหน้า ห่วงต้นทุนวัตถุดิบ-พลังงานพุ่งกระทบราคาสินค้า เฝ้าระวังจุดเปลี่ยนโอไมครอน

นายณรงค์ศักดิ์  พุทธพรมงคล  ประธานกรรมการ หอการค้าไทย-จีน เปิดเผยถึงผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นจาก คณะกรรมการกิตติมศักดิ์ คณะกรรมการบริหาร และสมาชิกหอการค้าไทยจีน และประธาน ผู้บริหาร กรรมการสมาพันธ์หอการค้าไทยจีน และกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่หอการค้าไทยจีน จำนวน 370 คน ระหว่างวันที่ 16 – 26 พฤศจิกายน  2564 หรือช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 2564 พบว่า การเปิดประเทศส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ แต่การที่นักท่องเที่ยวจะกลับมาเข้าไทยนั้น ยังห่างไกล อย่างน้อยต้องเลยกลางปีหน้าไปแล้ว ในไตรมาส 3

ทั้งนี้สถานะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเมื่อมองไปในอนาคตอันใกล้ คือ 3 เดือนข้างหน้า ผู้ประกอบการได้วางแผนการจ้างงาน เมื่อเทียบกับตอนก่อนเกิดวิกฤโควิดเอาไว้อย่างไร โดยเกือบครึ่งหนึ่ง หรือ ร้อยละ 46.44 ตอบว่ายังคงวางแผนการจ้างงานเพียง 1 ใน 3 ของอัตราการจ้างงานเมื่อเทียบกับก่อนเกิดโควิด ส่วนอีกร้อยละ 15.95 ของผู้ตอบ ยังมีแผนการจ้างงานในระดับ 30%-60% และที่อัตราการจ้างงานใกล้เคียงกับก่อนวิกฤตโควิด คือ 60%-100% มีเพียงร้อยละ 15.95  สามารถสรุปได้ว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจเริ่มที่จะดีขึ้น การจ้างงานเริ่มทยอยกลับมาอีกครั้ง และแรงงานต่างชาติที่ปลอดโควิดมีความสำคัญเป็นอย่างมาก แต่ต้องรอไปอีกระยะหนึ่งอย่างน้อยผ่านกลางปี 2565 ไปถึงดีขึ้นตามความคาดหวังของผู้ถูกสำรวจ 

ด้านนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศโดยเฉพาะจากจีนจะมีความมั่นใจและเดินทางมาประเทศไทยเมื่อไหร่ นักธุรกิจของหอการค้าไทยจีน ร้อยละ 42 จะเข้ามาในช่วงไตรมาสที่สาม ส่วนอีก ร้อยละ 22.2  จะเข้ามาในช่วงไตรมาสที่สี่ และร้อยละ 17.9 จะเข้ามาช่วงต้นปี 2566  หากมีการเปิดประเทศแล้วมีการระบาดของโรค โควิด-19 เพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ นักธุรกิจ ร้อยละ 73.5 มีข้อเสนอแนะว่าถึงอย่างไรคงต้องเปิดประเทศต่อไป แต่จะให้มีการใช้มาตรการเช่นในปัจจุบัน หรือเข้มข้นขึ้น เช่น การปิดบางกิจการ 

นอกจากนี้นักธุรกิจ ร้อยละ 54.7 ยังกังวลสูงต่อปัญหาเรื่องต้นทุนวัตถุดิบและต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น จะเป็นปัจจัยทำให้เกิดเงินเฟ้อที่ผลักดันต่อต้นทุนหรือ cost-push inflation ในระยะยาว และเป็นสาเหตุทำให้ผู้ประกอบการ ร้อยละ 80 ปรับราคาสินค้า ภายใน 3 เดือนข้างหน้า

เมื่อพิจารณาถึงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างจีนและไทย จากการสำรวจพบว่าร้อยละ 51 คาดว่าเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนโดยรวมของจีนในไตรมาสที่ 1 ปี 2565 จะดีขึ้น เมื่อเทียบกับไตรมาสปัจจุบัน ในขณะที่ร้อยละ 27.9 (ของผู้ถูกสำรวจ) คาดว่าเศรษฐกิจจีนจะทรงๆ ส่วนร้อยละ 12.8 มีความเห็นว่าเศรษฐกิจจีนน่าจะเติบโตช้าลง ซึ่งผลการประเมินดังกล่าวได้สะท้อนถึงการคาดการณ์ส่งออกของไทยไปยังประเทศจีนในไตรมาสหน้า  ร้อยละ 55.6 คาดว่าการส่งออกของไทยไปยังจีนจะเพิ่มขึ้น และ ร้อยละ 24.5 ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปจากปัจจุบัน  ส่วนการนำเข้านั้น ร้อยละ 57.8 คาดว่าการนำเข้าจากจีนจะเพิ่มสูงขึ้น และร้อยละ 19.9 การนำเข้าจะทรงตัว   

การสอบถามความคิดเห็นด้านการลงทุนของจีนในไทย พบว่า ร้อยละ 47.9 การลงทุนจากจีนจะเพิ่มขึ้น โดยภาพรวมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจไทย-จีนยังดีอย่างต่อเนื่อง 

นายณรงค์ศักดิ์  กล่าวว่า จีนเป็นประเทศคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทย เป็นเวลา 9 ปี ติดต่อกัน ส่วนการส่งออกของไทยไปจีนขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดย 10 ดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ต.ค.) การส่งออกขยายตัว 26%  สำหรับการเปิดบริการเส้นทางรถไฟความเร็วสูง ลาว-จีน ต้นเดือนธันวาคมนี้ และ ความตกลงอาร์เซป (RCEP) จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2565  คาดว่าจะขยายโอกาสการค้าการลงทุนในอนาคตระหว่างไทยและจีน

อย่างไรก็ตามสัญญานบวกที่ดี คือ การสำรวจการคาดการณ์สถานการณ์เศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ของไทยโดยรวม ในไตรมาสที่ 1 ปี 2565 เมื่อเทียบกับไตรมาสปัจจุบัน มากกว่าร้อยละ 60 เห็นว่าจะเพิ่มขึ้น ดีขึ้น หมายถึงว่าเศรษฐกิจไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว ทั้งนี้ภาคธุรกิจที่ยังสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปีหน้า คือ ธุรกิจออนไลน์ พืชผลการเกษตร ธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง และการบริการสุขภาพ

ส่วนธุรกิจที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน คือ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว พืชผลการเกษตร และอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ จากผลการสำรวจขยายความได้ว่ารากฐานทางด้านการท่องเที่ยว และพืชผลการเกษตรมีความเข้มแข็ง และมีราคาดีในปัจจุบัน อาทิ ยาง มันสำปะหลัง และน้ำมันปาล์ม  หากสถานการณ์โควิดคลี่คลาย และปัญหาการประกอบธุรกิจได้รับการแก้ไขอย่างรวดเร็ว ทั้ง 2 ธุรกิจจะเป็นที่พึ่งทางด้านรายได้ของไทยได้ในช่วงไตรมาสแรกปี 2565  

ด้านการคาดการณ์ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในไตรมาสแรกปี 2565 เมื่อเทียบกับไตรมาสปัจจุบัน ร้อยละ 59.5 คาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์น่าจะปรับตัวดีขึ้น ส่วนแนวโน้มอัตราแลกเปลี่ยนนั้น เสียงส่วนใหญ่คาดว่าเงินบาทจะไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ