posttoday

“บิ๊กตู่”จับมือหอการค้า เดินตามแผนพัฒน์ฯ13 ขับเคลื่อนประเทศ

21 พฤศจิกายน 2564

นายกฯรับข้อเสนอเอกชน 5 ด้าน พร้อมเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจ มั่นใจปีนี้จีดีพีไม่ติดลบ แนวโน้มทยอยดีขึ้น

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานกล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “จับมือ รวมใจ พาไทยรอด” ในงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 39 โดยแนวคิดหลักของการสัมมนาในปีนี้คือ “Connect the Dots DESIGN THE FUTURE รวมพลัง สร้างสรรค์ อนาคต” การจัดงานในครั้งนี้จะเป็นแรงในการช่วยผลักดันเศรษฐกิจของประเทศ สร้างความร่วมมือทุกภาคส่วนเพื่อการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่านายกรัฐมนตรีรับมอบสรุปผลการจัดสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 39 จาก นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานหอการค้าไทย พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “จับมือ รวมใจพาไทยรอด”ความตอนหนึ่ง ว่า เกือบ 2 ปีที่ผ่านมา ไทยเผชิญกับวิกฤตการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19ที่สร้างผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนแล้วยังกระทบต่อการดำเนินชีวิตและกิจกรรมทางเศรษฐกิจด้วย การแก้ปัญหาคือ หามาตรการที่เหมาะสม ทั้งงบประมาณ และกฎหมายที่สอดคล้องกับการบริหารราชการแผ่นดิน รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งปัญหาสุขภาพและสาธารณสุข ปัญหาเศรษฐกิจ และปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชนและผู้ประกอบการภาคธุรกิจ  เพื่อให้พี่น้องประชาชนทุกคนสามารถกลับมาดำเนินชีวิตปกติได้อีกครั้ง 

ทั้งนี้รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการช่วยเหลือประชาชนและภาคเอกชน เสริมสภาพคล่องทางการเงิน กระตุ้นเศรษฐกิจและกระตุ้นกำลังซื้อจากผู้บริโภคภายในประเทศกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว  เน้นการเข้าถึงเงินทุนและสินเชื่อ โดยเฉพาะกลุ่มประชาชนฐานรากและผู้ประกอบการรายย่อยปัจจุบันสถานการณ์เศรษฐกิจไทยปรับตัวดีขึ้น เศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ติดลบเพียง 0.3% ซึ่งติดลบน้อยกว่าที่หลายฝ่ายประมาณการไว้มากและคาดว่าภาพรวมเศรษฐกิจในปีนี้ยังมีแนวโน้มเติบโตจากการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างสมดุลตามมาตรการสาธารณสุข

นายกรัฐมนตรียังกล่าวต่อว่ารัฐบาลมุ่งมั่นพลิกโฉมประเทศไทยด้วยแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 ซึ่งจะขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นประเทศเศรษฐกิจฐานนวัตกรรม สามารถผลิตสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูงมีกำลังคนที่มีทักษะและคุณลักษณะที่เหมาะสมกับโลกยุคใหม่ลดความเหลื่อมล้ำทั้งในเชิงรายได้ ความมั่งคั่ง และโอกาส สร้างความรับผิดชอบอย่างยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อมแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 จะช่วยเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคมให้กับทุกภาคส่วนด้วยการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เอสเอ็มอีและการพัฒนาเศรษฐกิจระดับพื้นที่ 

สำหรับหอการค้าทั่วประเทศเป็นภาคีสำคัญที่จะช่วยกันขับเคลื่อนประเทศไทยผ่านความร่วมมือของภาครัฐและเอกชน ทั้งในส่วนกลางและในระดับพื้นที่มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้พี่น้องประชาชนเข้าถึงโอกาสทางธุรกิจ สร้างรายได้ให้กับตัวเองและประเทศ และมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จะช่วยต่อยอด ยกระดับการพัฒนาในทุกมิติ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในระดับโลก  ซึ่งรัฐยังสนับสนุนกระบวนการ “ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมรับผิดชอบ" ผ่านกลไกหลักคือคณะกรรมการร่วมภาครัฐบาลและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค ในการรับฟังความคิดเห็นและแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน

อย่างไรก็ตามเอกชนยังมีบทบาทสำคัญในการเสนอแนวทางและร่วมจัดทำยุทธศาสตร์และนโยบายการพัฒนาประเทศในหลายด้านได้แก่1.การส่งเสริมการค้าและการลงทุนโดยมุ่งสร้างความแข็งแกร่งจากเศรษฐกิจภายในประเทศและกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจลงไปในระดับพื้นที่

2.การส่งเสริมการท่องเที่ยวและบริการในยุค Next Normal ด้วยการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวตามกระบวนการเข้าเมืองวิถีใหม่ 3. การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมและโลจิสติกส์ การขยายเส้นทางคมนาคมและระบบขนส่งโลจิสติกส์ ที่จะเชื่อมทั่วทุกภูมิภาคให้ถึงกันอย่างไร้รอยต่อ4.การบริหารจัดการน้ำด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บกักน้ำของแหล่งน้ำต้นทุนและพัฒนาระบบกระจายน้ำเพื่อการเกษตร การลงทุน และอุปโภคบริโภค

5. การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จากการมุ่งสู่เศรษฐกิจแบบใหม่ (BCG Model) และสังคมคาร์บอนต่ำ ประกอบด้วย การส่งเสริมเศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) การส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) การส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) การส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด

และ6.การพัฒนากำลังคนและคุณภาพชีวิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน รวมทั้งพัฒนาด้านการแพทย์และสาธารณสุขเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย รัฐบาลยังตระหนักถึงความจำเป็นในการเชื่อมโยงการทำงาน ทั้งจากบนลงล่าง (Top - Down) และล่างขึ้นบน (Bottom - Up) คำนึงถึงศักยภาพของพื้นที่และความต้องการของประชาชนเป็นสำคัญ โดยอาศัยกลไกการบริหารงานในระดับภูมิภาค ทั้งจังหวัดและกลุ่มจังหวัดไปจนถึงการกระจายอำนาจและงบประมาณไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งเป็นหน่วยปกครองที่มีความใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด

ทั้งนี้ความสามัคคีของคนไทยด้วยกันโดยความเชื่อมั่นว่าไทยทำได้ด้วยความร่วมมือร่วมแรงจะช่วยพาประเทศไทยสู่เศรษฐกิจและสังคมที่เข้มแข็งและยั่งยืน

“รัฐบาลให้ความสำคัญในการสร้างรายได้ให้กับประเทศ พัฒนาต่อยอดทางการค้าโดยการนำนวัตกรรมและกลไกใหม่ๆ ทางเทคโนโลยีมาเป็นตัวช่วยสิ่งสำคัญตอนนี้คือ สร้างความปลอดภัย กำลังเร่งแก้ปัญหาโควิด-19   มั่นใจเศรษฐกิจไทยทั้งปีไม่ติดลบ และทุกอย่างกำลังทยอยดีขึ้น ส่วนในปีหน้าต้องดูเป็นรายไตรมาส ซึ่งรัฐบาลได้เตรียมมาตรการต่าง ๆ ไว้แล้ว”