เอกชนโอด ราคาพลังงานแพงกระทบต้นทุนผลิต หนุนลดภาษี-ตรึงราคา
ส.อ.ท.เผย FTI Poll ห่วงราคาพลังงานพุ่งกระทบต้นทุนอุตสาหกรรม ชงรัฐกดค่าไฟ ตรึงราคาพลังงาน ออกนโยบายหนุนใช้พลังงานหมุนเวียน
นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 11 ในเดือนตุลาคม 2564 ภายใต้หัวข้อ “ราคาพลังงานพุ่งแรง กระทบภาคอุตสาหกรรมแค่ไหน?” พบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. มองว่า สถานการณ์ราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นในปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของภาคอุตสาหกรรมในระดับปานกลางถึงมาก โดยเฉพาะในเรื่องต้นทุนการผลิตสินค้าและบริการ รวมถึงค่าใช้จ่ายด้านโลจิสติกส์ที่ปรับตัวสูงขึ้น
ทั้งนี้เสนอขอให้ภาครัฐช่วยบรรเทาผลกระทบดังกล่าว ด้วยการตรึงราคาค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ(เอฟที) จนถึงสิ้นปี 2564 การปรับสูตรและโครงสร้างราคาพลังงาน ชั่วคราว 3 - 6 เดือน เพื่อลดภาระให้แก่ผู้ประกอบการ รวมทั้ง ดำเนินนโยบายในการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน เพื่อลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลในระยะยาว
อย่างไรก็ตามจากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 150 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด มีสรุปผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 11 จำนวน 7 คำถาม ดังนี้ 1.ราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นในปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมระดับปานกลาง 49.3% กระทบมาก 38.0% และกระทบน้อย 12.7%
2.ปัจจัยใดที่ส่งผลกระทบให้ราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้นในปัจจุบัน พบว่าอันดับที่ 1 นโยบายการผลิตน้ำมันของประเทศกลุ่มผู้ผลิตน้ำมัน 76.7% อันดับที่ 2 : การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลทำให้อุปสงค์ด้านพลังงานเพิ่มสูงขึ้น 68.7% อันดับที่ 3 ความผันผวนของค่าเงิน และภาวะเงินบาทอ่อนค่า 53.3% อันดับที่ 4 อุปสงค์ด้านพลังงานที่เพิ่มขึ้นจากการเข้าสู่ฤดูหนาวในกลุ่มประเทศฝั่งตะวันตก 51.3%
3.ปัจจุบันต้นทุนด้านพลังงานของธุรกิจท่านคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับต้นทุนในการประกอบการ พบว่า อันดับที่ 1 ต้นทุนด้านพลังงาน 10 – 20% รองลงมาต้นทุนด้านพลังงาน น้อยกว่า 10- 24.0% ต้นทุนด้านพลังงาน 30 – 50% และต้นทุนด้านพลังงาน มากกว่า 50% 10.0%
4.แนวโน้มราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจในเรื่องใด อันดับที่ 1 ต้นทุนการผลิตสินค้าและบริการปรับตัวสูงขึ้น 88.0% อันดับที่ 2 ค่าใช้จ่ายด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ปรับตัวสูงขึ้น 84.0% อันดับที่ 3 เกิดภาวะเงินเฟ้อ และกระทบต่อกำลังซื้อ/การบริโภคของภาคเอกชน 34.0% และอันดับที่ 4 ขาดแคลนวัตถุดิบจากจีน จากภาวะขาดแคลนพลังงาน 25.3%
5.ภาครัฐควรมีมาตรการช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบจากต้นทุนราคาพลังงานที่ปรับสูงขึ้นอย่างไร อันดับที่ 1 ตรึงราคาค่าไฟฟ้า (FT) จนถึงสิ้นปี 2564 66.0% อันดับที่ 2 ปรับสูตรและโครงสร้างราคาพลังงาน ชั่วคราว 3 - 6 เดือน เพื่อลดภาระผู้ประกอบการ 56.7% อันดับที่ 3 จัดสรรงบประมาณหรือใช้เงินกองทุน เพื่อชดเชยและตรึงราคาพลังงานทุกประเภท 54.0% อันดับที่ 4 ลดอัตราภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อลดราคาขายปลีกน้ำมัน ก๊าซหุงต้ม(แอลพีจี)และ เอ็นจีวี 53.3%
6.ภาครัฐควรดำเนินนโยบายด้านพลังงานในระยะยาวอย่างไร เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน และลดผลกระทบจากราคาพลังงานที่ผันผวน อันดับที่ 1 ส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน เพื่อลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล 74.7% อันดับที่ 2 ส่งเสริมการประหยัดพลังงาน และนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ 72.7% อันดับที่ 3 ปรับโครงสร้างราคาพลังงานให้เป็นธรรมแก่ผู้ใช้ไฟฟ้าและความร้อน 64.0%อันดับที่ 4 ส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า 44.0%
7.ภาคอุตสาหกรรมควรมีการปรับตัวรับมือกับราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างไร อันดับที่ 1 นำเทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพมาใช้เพื่อลดและประหยัดพลังงาน 77.3% อันดับที่ 2 นำระบบการบริหารจัดการพลังงานมาใช้ ปรับแผนการผลิตและโลจิสติกส์เพื่อลดต้นทุน 73.3% อันดับที่ 3 : การใช้พลังงานหมุนเวียนภายในโรงงาน หรือ ผลิตไฟฟ้าใช้เอง เช่น Solar cell, Biogas, Biomass 71.3% อันดับที่ 4 สร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์พลังงานและเทคนิคการใช้พลังงานอย่างประหยัด 59.3%