posttoday

ผุดนิคมฯ“ฉะเชิงเทรา บลูเทค ซิตี้” บูมลงทุนอีอีซี 3.3 หมื่นลบ.

25 ตุลาคม 2564

กนอ. จับมือ บริษัท ดับเบิ้ลพี แลนด์ ตั้งนิคมฯฉะเชิงเทรา บลูเทค ซิตี้ พื้นที่กว่า 1 พันไร่ รับอุตสาหกรรมขั้นสูงในอีอีซี คาดเกิดลงทุน 33,200 ล้านบาท จ้างงานเพิ่มกว่า 8,000 คน

นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยหลังลงนามในสัญญาร่วมดำเนินงาน กับ บริษัท ดับเบิ้ลพี แลนด์ จำกัด จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมฉะเชิงเทรา บลูเทค ซิตี้ ว่า การจัดนิคมฯครั้งนี้เพื่อเป็นการส่งเสริมและเตรียมพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมรองรับการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ตามนโยบายรัฐบาล ซึ่งจะเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมสมัยใหม่ S-Curve และ New S-Curve  โดยนิคมฯฉะเชิงเทรา บลูเทค ซิตี้ มีพื้นที่ประมาณ 1,181.87 ไร่ หากมีการลงทุนเต็มพื้นที่แล้วจะก่อให้เกิดมูลค่าการลงทุนในนิคมฯ ประมาณ 33,200 ล้านบาท เกิดการจ้างงานประมาณ 8,300 คน

ส่วนการดำเนินงานจะเป็นในรูปแบบนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงานที่เอกชนเป็นผู้ลงทุนพัฒนา และให้บริการระบบสาธารณูปโภค จัดเป็นนิคมอุตสาหกรรมลำดับที่ 67 โดยใช้ระยะเวลาพัฒนาโครงการประมาณ 2 ปี และจะเปิดขายพื้นที่/ให้เช่าพื้นที่ทั้งหมดได้ภายใน 4 ปี

สำหรับนักลงทุนเป้าหมายจะเน้นอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงในกระบวนการผลิตเป็นหลัก อาทิ กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมอุปกรณ์กักเก็บพลังงานไฟฟ้าประจุสูง กิจการอื่นที่เกี่ยวข้อง และกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับการส่งเสริมตามโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(EEC)  โดยโครงการฯ ได้รับความเห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA : Environmental Impact Assessment) จากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) แล้ว

“พื้นที่ตั้งโครงการฯ ถือว่าอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่ดี มีการเชื่อมโยงเครือข่ายเส้นทางคมนาคมที่สะดวก โดยเส้นทางเชื่อมต่อกับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3702 และเป็นทางคู่ขนานกับมอเตอร์เวย์ ห่างจากบริเวณจุดพักรถมอเตอร์เวย์ 1 กิโลเมตร อยู่ห่างจากสถานีรถไฟพานทอง 10 กิโลเมตร สนามบินสุวรรณภูมิ 44 กิโลเมตร ท่าเรือแหลมฉบัง 60 กิโลเมตร และท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด  119 กิโลเมตร ขณะเดียวกันยังมีนิคมอุตสาหกรรมที่อยู่ใกล้เคียงพื้นที่ ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี นิคมอุตสาหกรรมเวลโกรว์ และนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้”นายวีริศ กล่าว

นายวีริส  กล่าวว่า แนวโน้มการลงทุนในขณะนี้มีสัญญาณบวกชัดเจนขึ้น เห็นได้จากหลายอุตสาหกรรมที่ขยายตัวได้ดี ประกอบกับมีความสนใจการลงทุนจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment : FDI) เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เพราะมองว่าประเทศไทยมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี และเหมาะกับการตั้งฐานธุรกิจในระยะยาว เห็นได้จากการย้ายฐานการผลิตที่เป็นผลจากสงครามการค้าระหว่างประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ (จีน-สหรัฐฯ) ยังคงมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยส่วนใหญ่เป็นโครงการจากจีนและไต้หวัน ซึ่งในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาย้ายฐานเข้ามาแล้ว 250 โครงการ เงินลงทุนรวมกว่า 126,000 ล้านบาท (ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ )