posttoday

กกร.เล็งถกนายกฯชงมาตรการการเงิน-การคลังเรียกเชื่อมั่นก่อนเปิดประเทศ

11 ตุลาคม 2564

กกร.เห็นสัญญาณบวกเศรษฐกิจไทยหลังคลายล็อก ขยับเป้าจีดีพีโต 0-1% เตรียมขอพบนายกฯคุยมาตรการกระตุ้นเชื่อมั่น พร้อมเกาะติดปัจจัยลบน้ำมันแพง-บาทอ่อน กระทบต้นทุนผลิต

นายสนั่น อังอุบลกุล  ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการร่วมเอกชน 3 สถาบัน ได้แก่ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย  ว่าสถานการณ์ตัวเลขผู้ติดเชื้อในปัจจุบันทรงตัวถึงลดลง เนื่องจากแผนการจัดหาและจัดสรรวัคซีนที่ชัดเจน  มีการกระจายวัคซีนไปต่างจังหวัดมากขึ้น ขณะที่ภาครัฐเริ่มผ่อนคลายกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจทยอยเปิดดำเนินการได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยต้องจับตามองมาตรการผ่อนคลายที่จะออกมากลางเดือน ต.ค.ถึงต้นเดือน พ.ย. ต่อไป

นอกจากนี้ปัจจัยบวกที่ช่วยเสริมให้ภาพรวมเศรษฐกิจปลายปีน่าจะดีขึ้น คือ มาตรการที่รัฐบาลได้ออกมาในช่วงนี้ เช่น โครงการคนละครึ่ง เฟส 3 ที่จะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อภายในประเทศ โครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3 ที่ขยายสิทธิเพิ่มอีก 2 ล้านสิทธิ จะเป็นแรงเสริมภาคการท่องเที่ยวในช่วง High-Season   โดยรัฐบาลควรมีมาตรการเสริม ทั้งช้อปดีมีคืน และเติมเงินให้คนละครึ่งเพิ่มอีก 3,000 บาท รวมเป็น 6,000 บาท  เพื่อให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบมากขึ้น

นอกจากนั้น แผนการเปิดประเทศที่รัฐบาลประกาศไว้ จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว และนักลงทุนต่างประเทศ แม้ว่าเวลา 2 เดือนที่เหลือ จำนวนนักท่องเที่ยวอาจจะมีไม่มากในปีนี้ แต่จะส่งผลดีและสร้างความเชื่อมั่นในระยะต่อไป ซึ่ง กกร. กำลังรวบรวมประเด็นข้อเสนอที่เกี่ยวข้องกับมาตรการการเงิน การคลัง และภาษี และส่งหนังสือเพื่อขอเข้าพบนายกรัฐมนตรีภายในสัปดาห์นี้

สำหรับปัจจัยลบที่ต้องจับตามอง คือสถานการณ์น้ำท่วมของประเทศ แม้ว่าหลายพื้นที่จะเริ่มมีระดับน้ำ ที่ลดลงบ้าง แต่ยังคงมีพื้นที่เฝ้าระวังหลายแห่ง ซึ่งสร้างความเสียหายต่อภาคการเกษตร โดยเฉพาะพื้นที่ภาคอีสานและภาคกลาง โดยเบื้องต้นประเมินว่าสถานการณ์น้ำท่วมจะกระทบเศรษฐกิจประมาณ  1.5 หมื่นล้านบาท หรือราว 0.1% ของจีดีพี

ขณะที่ปัญหาราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นต่อเนื่องแตะระดับสูงสุดในรอบ 7 ปี กระทบต้นทุนการผลิต  การขนส่ง การเดินทางของภาคธุรกิจ และประชาชนในวงกว้าง ประกอบกับเงินบาทอ่อนค่าลง ทำให้ต้นทุนนำเข้าพลังงานทั้งน้ำมันและก๊าซพุ่งขึ้นในอัตราเร่ง

การอ่อนค่าของเงินบาท แม้ส่งผลดีต่อธุรกิจส่งออก แต่ธุรกิจและอุตสาหกรรมหลายสาขาได้รับผลกระทบตามมา แม้ว่า (กบง.) จะมีมติลดเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนน้ำมันดีเซล เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่เกิน 30 บ./ลิตร แต่ก็เป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า และคาดว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังอยู่ในขาขึ้น ซึ่งรัฐต้องวางแผนบริหารจัดการพลังงานให้มีประสิทธิภาพ เพื่อไม่ให้ซ้ำเติมและกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตามความท้าทายหลังจากนี้ จะต้องติดตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกที่เร่งตัวขึ้นอย่างมาก อันเนื่องจาก 1. เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง 2. อุปทานตึงตัว และ 3. การลดกำลังการผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิล  เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่นโยบายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net zero emissions) ส่งผลทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด รวมถึงทำให้อัตราเงินเฟ้อผู้บริโภค (CPI) ทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวทั่วโลกปรับตัวขึ้นตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งเงินเฟ้อที่สูงขึ้นเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจตัดสินใจลดการผ่อนคลายนโยบายทางการเงินเร็วกว่าที่ประเมินไว้ ส่งผลให้ตลาดการเงินทั่วโลกรวมถึงค่าเงินบาทมีแนวโน้มผันผวนไปในทิศทางอ่อนค่าได้ในระยะต่อไป

นายสนั่น กล่าวว่า ที่ประชุมกกร.ได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2564 ดีขึ้นมาจากเดิม ติดลบ 0.5  ถึง  1 % มาอยู่ในกรอบ 0.0 % ถึง 1.0% ซึ่งจะไม่เห็นจีดีพีติดลบ  แต่ยังต้องติดตามสถานการณ์น้ำท่วมและตัวเลขการติดเชื้อหลังผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ไปอีกระยะ

ส่วนการส่งออก กกร. คาดว่าจะขยายตัว 12.0% ถึง 14.0% จากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวดี ภายใต้เงื่อนไขค่าระวางเรือที่ไม่สูงจนเกินไป สามารถควบคุมการระบาดในกลุ่มแรงงานภาคอุตสาหกรรมได้ และการฉีดวัคซีนให้แรงงานได้ทั่วถึง ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ในกรอบ 1.0% ถึง 1.2%

อย่างไรก็ตามทางกกร. ได้มีประเด็นข้อเสนอแนะที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม ในเรื่องความคืบหน้า CPTPP ของประเทศไทย กกร.ขอให้รัฐบาลเร่งรัดการดำเนินการเกี่ยวกับการเข้าร่วมการเจรจา CPTPP โดยทาง กกร. จะทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี รมว.ต่างประเทศ และรมว.เพื่อนำเสนอผลการศึกษาของภาคเอกชน และเร่งรัดการพิจารณา เนื่องจาก ปัจจุบันทางจีน สหราชอาณาจักร และไต้หวัน ได้มีเจตจำนงเข้าร่วมเจรจากับ CPTPP อย่างชัดเจนแล้ว และหากไทยยังล่าช้าไปกว่านี้ อาจทำให้ต้องเจรจาตามเงื่อนไขของประเทศทั้ง 3 เพิ่มเติม จากเดิมที่จะต้องเจรจากับ 11 ประเทศที่เป็นสมาชิก CPTPP ในปัจจุบัน และทำให้ไทยเสียโอกาสในการแข่งขันทางการค้ากับประเทศเพื่อนบ้านอย่าง เวียดนาม มาเลเซีย และสิงคโปร์ ซึ่งก่อนหน้านี้

นายสุพันธุ์  มงคลสุธี  ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า  รัฐบาลต้องดูแลใกล้ชิดในเรื่องผลกระทบราคาน้ำมันที่สูง และค่าเงินบาทอ่อนค่า ซึ่งไม่ใช่เฉพาะภาคอุตสาหกรรม แต่รวมถึงระบบสาธารณูปโภคด้วย ภาครัฐต้องลงมาช่วยแก้ปัญหา  ส่วนปัญหาน้ำท่วมไม่ได้กระทบภาคอุตสาหกรรมมากนัก แต่จะกระทบกับพื้นที่เกษตรจำนวนมาก ซึ่งอาจทำให้ต้นทุนวัตถุดิบการเกษตรปรับตัวสูงขึ้น อาจกระทบกับต้นทุนอุตสาหกรรมแปรรูปเกษตรได้