ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ เสี่ยงทำโควิดระบาดละลอก4
นักวิชาการห่วง มาตรการรัฐบาลย้อนแย้ง เปิดภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ คุมโควิดสายพันธุ์อินเดียไม่อยู่ ทำไทยวิกฤตโควิดระลอก 4
นายสมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง กล่าวว่า มาตรการล็อกดาวน์ของรัฐบาลที่ออกมาล่าสุดไม่เพียงพอในการดูแลควบคุมการระบาดของโควิด-19 เพราะว่ารัฐบาลมีมาตรการที่ย้อนแยง คือ ด้านหนึ่งมีการล็อกดาวน์ แต่อีกด้านหนึ่งมีการเปิดประเทศ โดยเฉพาะโมเดลภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ซึ่งส่วนตัวมีความเห็นว่าควรจะเลื่อนโมเดลภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ออกไปอย่างน้อย 1-2 เดือน เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดภายในประเทศให้เรียบร้อยก่อน จากปัจจุบันที่มีผู้ติดเชื้อ 3-4 พันรายต่อวัน ก็ควรจะควบคุมให้เหลือไม่เกิน 1-2 พันรายต่อวันก่อน จึงค่อยมาคิดว่าควรจะเดินหน้าโมเดลภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์หรือไม่
“ผมคิดว่าภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ไม่สามารถหยุดได้ เพราะรัฐบาลประกาศไปแล้วว่าจะดำเนินการเรื่องนี้ในวันที่ 1 ก.ค. นี้ ดังนั้นรัฐบาลจะต้องยอมรับความเสี่ยงในอนาคตจากการเปิดประเทศครั้งนี้ว่าจะเป็นต้นเหตุของการเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์อินเดียให้เพิ่มขึ้นในประเทศไทยอย่างรวดเร็ว โดยคาดว่าภายใน 2-3 เดือนจากนี้สายพันธุ์อินเดียจะระบาดเป็นอันดับหนึ่งของประเทศไทย หากรัฐบาลไม่มีมาตรการบริหารจัดการที่ดีพอ ก็อาจจะทำให้เกิดการระบาดระลอกที่ 4 ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยแย่ไปกว่านี้” นายสมชาย กล่าว
นายสมชาย กล่าวอีกว่า โควิด-19 สายพันธุ์อินเดียมีตัวอย่างให้เห็นชัดมาก ทั้งในยุโรป อังกฤษ รวมถึงอิสราเอล หรือแม้แต่สิงคโปร์เองที่มีการฉีดวัคซีนไป 50-60% แล้ว และเป็นวัคซีนที่มีคุณภาพดีกว่าของไทย แต่พอมาเจอสายพันธุ์อินเดียก็ทำให้เกิดการระบาดระลอกใหม่ จนทำให้ประเทศดังกล่าวต้องมีการชะลอการคลายล็อกมาตรการควบคุมการระบาดต่าง ๆ ที่ดำเนินอยู่ออกไป
ทั้งนี้ มองว่ารัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการระบาดของโควิด-19 มากกว่าการเร่งเปิดประเทศ โดยเฉพาะโมเดลภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ เพราะปัจจุบันเศรษฐกิจยังสามารถขยายตัวได้จากการส่งออกที่ปีนี้คาดว่าจะขยายตัวได้ถึง 10% และมาตรการกระตุ้นการบริโภคต่าง ๆ ที่รัฐบาลออกไปอย่างต่อเนื่อง การเร่งการลงทุนของภาครัฐ ปัจจัยเหล่านี้จะช่วยทำให้เศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัวเป็นบวกอยู่แล้ว ไม่ว่าจะบวกมากหรือน้อยก็ตาม ดังนั้นรัฐบาลไม่ควรเสี่ยงรีบเปิดประเทศ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการระบาดระลอกที่ 4 และเศรษฐกิจจะเกิดความเสียหายอย่างมาก
“โมเดลภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์มีความเสี่ยงในการระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์อินเดียสูงมากจากการที่นักท่องเที่ยวจะนำเชื้อดังกล่าวเข้ามาในไทยเพิ่ม จากที่ขณะนี้ก็พบเชื้อดังกล่าวในประเทศบ้างอยู่แล้ว และอาจจะแพร่กระจายเพิ่มในภูเก็ตและเมื่อมีคนไทยไปเที่ยวในพื้นที่ดังกล่าวก็อาจไปติดและแพร่กระจายจนเกิดสะสมของการติดเชื้อ จนเป็นซุปเปอร์สเปรดเดอร์เหมือนละลอก 3 ที่ผ่านมา หากเกิดการระบาดระลอกที่ 4 จะประเมินยากมากว่าเศรษฐกิจไทยจะเป็นอย่างไร” นายสมชาย กล่าว


