posttoday

เงินเฟ้อร่วงต่อเป็นเดือนที่ 12 ติดลบ 1.17% ผลพวงค่าน้ำ-ค่าไฟลด

05 มีนาคม 2564

พาณิชย์ ชี้เงินเฟ้อติดลบ ไม่น่าห่วง เหตุจากมาตรการลดค่าน้ำค่าไฟ-อาหารสดราคาตก ฉุดรายจ่ายลดลง ส่งผลเงินเฟ้อเดือนก.พ.ยังติดลบต่อเนื่อง คาดหลังหมดมาตรการเดือนเม.ย.กลับมาพุ่งแรง

นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า

ดัชนีราคาผู้บริโภค (เงินเฟ้อทั่วไป) เดือนกุมภาพันธ์ 2564 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ลดลงร้อยละ 1.17 (YoY) ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 12 นับตั้งแต่สถานการณ์โควิด-19 เริ่มส่งผลต่อไทยในเดือนมีนาคมปีก่อน

สำหรับปัจจัยหลักจากมาตรการลดค่าครองชีพของภาครัฐ โดยเฉพาะการลดค่าไฟฟ้าและน้ำประปา เป็นระยะเวลา 2 เดือน (ก.พ.–มี.ค. 64) ซึ่งยังไม่น่าเป็นห่วง  ประกอบกับราคาสินค้าในกลุ่มอาหารสด โดยเฉพาะ ข้าวสารเจ้า ข้าวสารเหนียว และผักสด ลดลงตามผลผลิตที่เพิ่มขึ้น และฐานราคาที่ต่ำกว่าปีก่อน

ขณะที่ราคาสินค้าและบริการในหมวดอื่น ๆ ส่วนใหญ่   ยังทรงตัวและเคลื่อนไหวสอดคล้องกับปริมาณผลผลิตและความต้องการบริโภคของประชาชน ยกเว้น น้ำมันเชื้อเพลิง มีการปรับราคาสูงขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 13 เดือน ตามการสูงขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลก เมื่อหักอาหารสด และพลังงานออกแล้ว เงินเฟ้อพื้นฐานขยายตัวที่ร้อยละ 0.04 (YoY)

“เงินเฟ้อที่ปรับตัวลดลงมากในเดือนนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากมาตรการลดค่าครองชีพของรัฐ ในขณะที่สถานการณ์ด้านการผลิตและบริโภคเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัว สอดคล้องกับการส่งออกที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 อัตราการใช้กำลังการผลิตที่กลับมาอยู่ในระดับใกล้เคียงกับระดับก่อนเกิดการระบาดโควิด

รวมทั้งมาตรการต่าง ๆ ของรัฐที่ช่วยลดค่าครองชีพ เพิ่มกำลังซื้อ และกระตุ้นเศรษฐกิจยังออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าสถานการณ์ด้านราคาสินค้าและบริการในระยะต่อไปจะมีแนวโน้มขยายตัวตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นไป”

สำหรับแนวโน้มเงินเฟ้อ เดือนมีนาคม 2564 มีโอกาสหดตัวเล็กน้อย โดยมีปัจจัยสำคัญจากผลของมาตรการดูแลค่าครองชีพประชาชนด้านสาธารณูปโภค (ไฟฟ้า ประปา) ที่ยังมีผลต่อเนื่องจากเดือนนี้ รวมทั้งราคาข้าวสารที่ยังต่ำกว่าปีก่อน และสินค้าเกษตรอื่น ๆ ยังเคลื่อนไหวในทิศทางปกติตามปริมาณผลผลิต

ในขณะที่ราคาน้ำมันในปีนี้อาจผันผวนบ้างตามสถานการณ์ราคาโลก แต่มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องทั้งปี ทั้งนี้ คาดว่าเงินเฟ้อในปี 2564 จะเคลื่อนไหวระหว่างร้อยละ 0.7 – 1.7 (ค่ากลางอยู่ที่ +1.2) ซึ่งเป็นอัตราที่น่าจะช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้อย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง