กสทช. มองอนาคต “ไทย” ไปสู่ Asia Medical Hub เร็วขึ้น
กสทช. บอกอุตฯการแพทย์ครบวงจร ของไทย มีความพร้อมจากฐานรากโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมแข็งแกร็ง หนุนสู่ศูนย์กลางทางแพทย์ในภูมิภาคเอเชียฯ ได้ก่อนเป้าหมายภายใน 10 ปี
นางสาวธีตานันตร์ รัตนแสนยานุภาพ ผู้อำนวยการสำนักวิชาการและจัดการทรัพยากรโทรคมนาคม สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และ กิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวในงานสัมมนา Webinar หัวข้อ “Thailand Medical Hub” ศูนย์กลางใหม่ เศรษฐกิจประเทศไทย” จัดโดย กลุ่มบางกอกโพสต์ หอการค้าไทย และ สำนักงาน สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (สสปน.) TCEB เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม ที่ผ่านมา ว่าบทบาทของ กสทช. ในฐานะผู้กำกับดูแลกิจการสื่อสารโทรคมนาคมของประเทศไทย ได้มีส่วนร่วมในการวางรากฐานรากโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมของประเทศ เพื่อผลักดันไปสู่เป้าหมาย “ไทยแลนด์ 4.0” การพัฒนาเศรษฐิกิจดิจิทัล ตามนโยบายของรัฐบาล
ขณะที่ อุตสาหกรรมทางการแพทย์ ถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเศรษฐกิจใหม่ที่รัฐ วางเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็น Asia Pacific Medical Hub และคาดว่าจากความพร้อมของเทคโนโลยีต่างๆที่เริ่มนำมาใช้อย่างต่อเนื่องของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่างๆของไทยในปัจจุบัน จะเป็นตัวเร่งให้เกิดได้เร็วขึ้นจากแผนเดิมที่วางไว้ภายใน 10 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะจากการนำเทคโนโลยี AI การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) ฯลฯ มาใช้ร่วมกับทักษะบริการทางการแพทย์ เป็นจำนวนมากในกลุ่มโรงพยาบาล ชั้นนำหลายแห่งในปัจจุบัน
หนุน “ไทย” สู่ยุค “สมาร์ท เฮลทธ์”
สำหรับการเข้ามาของเทคโนโลยี ดิสรัปชัน ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ช่วง 2-3 ปีทื่ผ่านมานั้น มองว่าส่งผลให้เกิดการพัฒนาโครงสร้าพื้นฐานเทคโนโลยีสำคัญต่างๆ อย่างรวดเร็วมากกว่าเป็นอุปสรรค ซึ่งสอดคล้องกับการทำงานของ กสทช. ต่อการออกแบบนโยบายเชิงกลยุทธ์กิจการโทรคมนาคม เพื่อสร้างระบบนิเวศน์ (Eco System) ให้เกิดขึ้นในภาคธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องทั้งรัฐและเอกชน โดยเฉพาะในด้าน Content Providers ซึ่งจะเป็นโอกาสของผู้ประกอบการ เอสเอ็มอี ไทย ที่จะเติบโตไปพร้อมกันในอนาคต
“อุตสาหกรรมทางการแพทย์ของไทยจากนี้ไป สามารถประยุกต์ใช้ข้อมูลต่างๆจากการเก็บรวบรวมเพื่อนำมาวิเคราะห์ ผ่านเทคโนโลยี 5G เอไอ คลาวด์ คอมพิวติง ต่างๆ เพื่อต่อยอดสร้างมูลค่าใ้ห้กับอุตสาหกรรมทางการแพทย์ครบวงจร ได้อย่างมาก ซึ่งถือเป็นการปรับเปลี่ยนเศรษฐกิจของประเทศไปสู่ Value Base Technology ในอนาคต โดยเฉพาะการนำ5G มาใช้ในอุตฯทางการแพทย์ในรูปแบบ สมาร์ท เฮลทธ์ ที่มีความเร็วในการรับส่งข้อมูลอินเทอร์เน็ตได้ถึง 10 กิ๊กกะไบท์ต่อวินาที” นางสาวธีตานันตร์ กล่าว
ทั้งนี้ ยังสอดคล้องกับแผนพัฒนาเทคโนโลยี5G ของไทย ที่ กสทช. ดำเนินการจัดประมูลใบอนุญาตคลื่นความถี่รองรับเทคโนโลยี5G ไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา และในขณะนี้ ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่(Operator) อยู่ระหว่างการติดตั้งเพื่อนำโครงข่ายออกมาใช้ (Rollout) ในทั่วประเทศ ซึ่งรวมถึงการประมูลโครงข่ายฯในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี)เพื่อให้สามารถบริการเชิงพาณิชย์ได้ด้วย โดยคาดว่าพร้อมให้บริการได้เป็นไปตามแผนในต้นปี 2564
สร้าง “อีโค ซิสเต็ม” เชื่อมเศรษฐกิจดิจิทัล
นางสาวธีตานันตร์ กล่าวว่าบทบาทของกสทช. ในฐานะหน่วยงานสังกัดภาครัฐ มีความพร้อมให้การสนับสนุนเชิงนโยบายให้กับภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องในกิจการด้านการสื่อสารและโทรคมนาคม เพื่อสร้างแรงจูงใจต่อการลงทุนกิจการด้านโทรคมนาคมในประเทศ โดยเฉพาะการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องด้านการลงทุน พร้อมศึกษาโมเดลต่างๆจากต่างประเทศ ว่ามีการลงทุนในด้านใดบ้าง ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา ส่งเสริม ภาคบริการสาธารณะสุขอัจฉริยะ (Smart Healthcare) ให้เกิดขึ้นในประเทศไทย
ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศ ไปสู่การดำเนินโครงสร้างเศรษฐกิจไทยแลนด์ 4.0 ที่จะต้องมีโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสุดต่อการสนับสนุนเศรษฐกิจดิจิทัล รวมไปถึงการพัฒนาแพล็ตฟอร์มต่างๆ ที่จะเป็นกลไกในการเชื่อมต่อเทคโนโลยีต่างๆ อาทิ 5G, IoT, BiG Data เป็นต้น เพื่อเชื่อมโอกาสและขยายการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมธุรกิจบริการทางการแพทย์ครบวงจร ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงภาคประชาชน ที่จะได้ประโยขน์ พร้อมกัน