ปีนี้จีดีพีติดลบเหลือ 7% แนะรัฐออกแพจเกจกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง
กกร.ประเมินเศรษฐกิจไทยปีหน้าดีขึ้นแต่ยังไม่ปกติ คาดขยายตัวได้ 2% ห่วงท่องเที่ยวฟื้นยาก หนุนออกมาตรการเพิ่มกำลังซื้อในประเทศต่อเนื่องประคองเศรษฐกิจ
นายกลินท์ สารสิน ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมเอกชน 3 สถาบันได้แก่ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) สมาคมธนาคารไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ว่า ที่ประชุมได้ประเมินภาพรวมเศรษฐกิจโลกและไทยในไตรมาส 4 มีทิศทางแผ่วลงเมื่อเทียบกับไตรมาสที่3 แต่ยังมีปัจจัยบวกในเรื่องความคืบหน้าของการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 และผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีผลต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ส่งผลต่อความเชื่อมั่นต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้
ทั้งนี้เศรษฐกิจไทยคาดว่าปรับตัวดีขึ้นในปี 2564 แต่ยังไม่กลับสู่ภาวะปกติ ภาคการส่งออกของไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น ในหลังจากมีการใช้วัคซีนในวงกว้างในช่วงครึ่งหลังของปี ขณะที่เศรษฐกิจโลกยังน่าจะได้รับปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจจีนที่ขยายตัวต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยจะยังไม่กลับสู่ภาวะปกติ เนื่องจากภาคการท่องเที่ยวที่มีสัดส่วนกว่าร้อยละ 10 ของจีดีพียังฟื้นตัวได้อย่างจำกัด รวมถึงตลาดแรงงานยังคงเปราะบาง โดยภาครัฐยังต้องเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปี 2564 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและกำลังซื้อของครัวเรือนที่มีความต่อเนื่องยังคงมีความจำเป็นในการประคับประคองเศรษฐกิจประเทศ
นอกจากนี้การลงทุนของภาครัฐในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญจะเป็นแรงสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจและสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุน รวมถึง ยกระดับความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทยในระยะยาว
สำหรับประมาณการเศรษฐกิจปี 2563 กกร. ปรับคาดการณ์เศรษฐกิจในปี 2563 ดีขึ้น โดยที่ จีดีพีปี 2563 จะหดตัวในกรอบ -7.0% ถึง -6.0 ขณะที่การส่งออกจะหดตัวในกรอบ -8.0% ถึง -7.0% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะหดตัวอยู่ในกรอบ -1.0% ถึง -0.9%
นายกลินท์ กล่าวว่า สำหรับปี 2564 แม้เศรษฐกิจไทยจะได้รับแรงสนับสนุนจากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว แต่ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญในระยะข้างหน้า โดยคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยปี 2564 จะขยายตัวได้ในกรอบ 2.0% ถึง 4.0% ขณะที่การส่งออกจะขยายตัวในกรอบ 3.0% ถึง 5.0% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะอยู่ในกรอบ 0.8% ถึง 1.2%
ทั้งนี้กกร. ต้องการให้ภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว และโรงแรม โดยเสนอมาตรการช่วยเหลือ ดังนี้ 1. มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) สำหรับกรณีหนี้คงเหลือเดิมปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นคงที่ 2% พร้อมทั้งพักการชำระเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 2 ปี
และขอวงเงินสนับสนุนเพิ่มสภาพคล่องให้แก่ธุรกิจไทย อนุมัติปล่อยสินเชื่อได้ไม่เกินรายละ 60 ล้านบาท/โรงแรม ในอัตราดอกเบี้ย 2% ปลอดการชำระเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 2 ปี เมื่อครบกำหนดแล้วให้แปลงเป็นสินเชื่อระยะยาวดอกเบี้ยต่ำผ่อนชำระกับธนาคารพาณิชย์ หากลูกค้ามีหลักประกันไม่พอ ขอให้ บสย. หรือรัฐบาลเป็นผู้จัดตั้งกองทุนค้ำประกัน และไม่จำกัดสิทธิสำหรับโรงแรมขนาดใหญ่ที่มีวงเงินรวมเกิน 500 ล้านบาท
2. มาตรการสนับสนุนเงินเดือนค่าจ้างร้อยละ 50 Co-payment เพื่อรักษาการจ้างงาน สนับสนุนให้นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการจ้างพนักงานเดิมจำนวน 200,000 คน (จำนวนไม่เกิน 30% ของจำนวนพนักงานปัจจุบัน) ระยะเวลาดำเนินโครงการ 1 ปี
นอกจากนี้กกร.ยังได้หารือเรื่อง ปัญหาขาดแคลนตู้สินค้าอย่างรุนแรง โดยคาดว่าปัญหาการขาดแคลนตู้จะคลี่คลายในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2564 ซึ่งส่งผลกระทบต่ออัตราค่าระวางเรือ และต้นทุนสินค้าของประเทศไทยด้วย โดยต้องการให้มีการแก้ปัญหาระยะสั้นสนอให้สมาคมผู้ส่งออกสินค้าประเภทต่างๆ ประสานเจรจากับสายเดินเรือต่างๆ โดยตรง เพื่อจัดทำสัญญาการใช้บริการ (Service Contract) ที่ระบุข้อตกลงในเรื่องค่าระวางเรือและการจัดสรรระวางเรือและจำนวนตู้สินค้าที่ยอมรับได้ทั้งสองฝ่าย
ขณะเดียวกันขอให้สายเดินเรือนำเรือแม่ขนาดใหญ่ของเส้นทางหลัก เช่น สายเอเชีย-ยุโรป สายเอเชีย-อเมริกา สายเอเชีย-ตะวันออกกลาง ฯลฯ เข้ามาเปิดบริการวิ่งตรง (Direct call service) ที่ท่าเรือแหลมฉบังให้มากขึ้น และเสนอให้นำตู้คอนเทนเนอร์เปล่าเข้ามาในประเทศไทย โดยการปรับลดอัตราค่าภาระขนถ่ายและค่าภาระหน้าท่าสำหรับการนำเข้าตู้เปล่า เพื่อลดต้นทุนการนำเข้าตู้เปล่าเข้ามา ซึ่งจะสร้างแรงจูงใจให้สายการเดินเรือนำเข้าตู้เปล่าเข้ามาเก็บไว้ในประเทศไทยมากขึ้น และยังจะช่วยสร้างงานและสร้างรายได้ให้แก่ภาคธุรกิจการบริการซ่อมแซมบำรุงรักษาตู้คอนเทนเนอร์ในประเทศไทยอีกด้วย